“เกษตรนำการพัฒนา” นโยบายเพื่อการพัฒนา ของ ธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05070010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

รายงานพิเศษ เปิดเมืองศรีสะเกษ

“เกษตรนำการพัฒนา” นโยบายเพื่อการพัฒนา ของ ธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ

“ผมมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำงานอย่างเต็มที่ ตามที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาล และจะทำงานเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงมหาดไทย เพื่อความสุขของประชาชนชาวศรีสะเกษในทุกด้าน โดยการทำงานจะเน้นแบบประชารัฐ โดยทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันขับเคลื่อนงานเพื่อให้สำเร็จตามนโยบายของรัฐบาล”

“นับตั้งแต่วันที่ผมมารับตำแหน่งที่นี่ ได้วางนโยบายแล้วว่า จะใช้ภาคเกษตรนำการพัฒนาของจังหวัด โดยการสนับสนุนงบประมาณนั้นจะเน้นให้ภาคการเกษตรก่อน ส่วนการก่อสร้าง เช่น ถนน จะไว้ลำดับรองๆ ลงมา โดยกิจกรรมภาคการเกษตรที่จะเป็นอนาคตของเกษตรกรในจังหวัด จะเน้นที่ไม้ผล โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ทุเรียน และการเลี้ยงโคเนื้อ”

นายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวถึงนโยบายการพัฒนาภาคการเกษตรของจังหวัดศรีสะเกษที่จะดำเนินการต่อไป

เน้นนโยบายพัฒนาข้าว

“เรื่องข้าวนั้นถือเป็นยุทธศาสตร์นำของจังหวัดศรีสะเกษ ที่จะต้องมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง จังหวัดศรีสะเกษนั้นเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวอินทรีย์คุณภาพอันดับหนึ่งของประเทศ ดังนั้น จึงมีนโยบายที่จะวางแผนการเพิ่มพื้นที่และผลผลิตเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยจะมีความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเป้าหมายนั้นอยากมี และขยายพื้นที่ปลูกข้าวคุณภาพให้ได้ปีละ 10,000 ไร่”

ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวต่อไปอีกว่า สำหรับความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นเพื่อการพัฒนาอาชีพการทำนาของเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษ จะดำเนินการร่วมกับ บริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด แนวทางประชารัฐจังหวัดศรีสะเกษ โครงการข้าวนาหยอด ซึ่งจังหวัดศรีสะเกษ มีเป้าหมายปลูกข้าวนาหยอด 10,000 ไร่ และมีโรงสีรับซื้อข้าวในราคาประกันด้วย

หอมแดง เป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจที่ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษบอกว่าเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการพัฒนา โดยล่าสุดได้มีการปรึกษาพูดคุยเรื่องการพัฒนาการประกอบอาชีพนี้กับ นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งได้ลงพื้นที่ในการติดตามผลการดำเนินงานตามโครงการแนวทางประชารัฐจังหวัดศรีสะเกษ ถึงแนวทางการพัฒนา

“คุณอิสระบอกว่าจะช่วยในการประสานให้หน่วยงานวิจัย อย่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. เข้ามาช่วยดูในเรื่องของเทคโนโลยีการผลิต และโลจิสติกส์ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปหอมแดง ซึ่งขณะนี้ในจังหวัดได้มีการพัฒนาการผลิต จนได้เป็นผลิตภัณฑ์เด่น อย่างหอมเจียว เข้าไปวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ได้”

“ในการพัฒนาภาคเกษตรนั้นมีหลายโครงการที่ทางจังหวัดศรีสะเกษต้องดำเนินการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการพัฒนา ซึ่งนับเป็นภาระของผมที่จะต้องทำในสิ่งเหล่านี้ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษให้มีความอยู่ดีกินดีอย่างมั่นคง” ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าว

เน้นทุเรียนสร้างคุณภาพ และสร้างความต่าง

ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวว่า จังหวัดศรีสะเกษนั้นถือว่าเป็นจังหวัดที่โชคดีที่มีพื้นที่ในเขต 3 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอขุนหาญ กันทรลักษ์ และศรีรัตน์ สามารถปลูกไม้ผลได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง ลำไย รวมถึงสะตอ ซึ่งแนวทางการพัฒนานั้น ด้วยผลไม้ของศรีสะเกษนั้นมีความโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่น เนื่องจากสภาพดินที่นี่เป็นดินภูเขาไฟเก่า และสภาพดินไม้อุ้มน้ำ ส่งผลทำให้คุณภาพและรสชาติของไม้ผลที่ดีมาก เช่น ทุเรียน จะมีลักษณะไส้แห้ง ไม่แฉะ เนื้อมีความกรอบนอกนุ่มใน และที่สำคัญกลิ่นไม่ฉุนรุนแรง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทุเรียนที่มีกลิ่นแรง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นจุดเด่นที่ทำให้ทุเรียนของศรีสะเกษมีความโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด

“ดังนั้น นโยบายหนึ่งที่จะดำเนินการคือ การส่งเสริมการปลูกทุเรียนให้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้มีพื้นที่ปลูกทุเรียนอยู่ประมาณ 3,000 ไร่ และให้ผลผลิตแล้วประมาณ 2,000 ไร่ เป้าหมายในขณะที่ดำรงตำแหน่งที่นี่คือ จะส่งเสริมให้มีพื้นที่ปลูกเพิ่มให้ได้ถึง 10,000 ไร่ โดยเกษตรกรที่จะปลูกทุเรียนตามการส่งเสริมนั้นต้องได้รับการคัดเลือกและเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีเพื่อให้เป็นสวนทุเรียนคุณภาพ”

“ทั้งนี้ เพราะการที่จะผลิตทุเรียนเพื่อไปแข่งขันด้านการตลาดกับจังหวัดที่มีการปลูกทุเรียนมานานและเป็นแหล่งใหญ่ได้นั้นต้องเน้นเรื่องคุณภาพเป็นสำคัญ และเกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ในราคาสูง สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งจูงใจให้เกษตรกรมือใหม่ได้เกิดการปรับเปลี่ยนและเข้ามาสู่การปลูกทุเรียนคุณภาพจำหน่ายตามเป้าหมายที่วางไว้”

ทั้งนี้ ในด้านการตลาดของปี 2559 ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ บอกว่า มีเป้าหมายที่จะดำเนินการจำหน่ายทุเรียนในเกรดพรีเมี่ยม จำนวน 12,000 ลูก โดยได้มีการลงนามความร่วมมือกับทางไปรษณีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่บัดนี้ และหากทุเรียนที่สั่งซื้อ เมื่อได้รับแล้วปรากฏว่า มีคุณภาพไม่ตรงกับที่ประชาสัมพันธ์ จังหวัดศรีสะเกษพร้อมที่จะเปลี่ยนทุเรียนให้ใหม่

“การส่งเสริมประชาสัมพันธ์ไม่ให้เกษตรกรตัดทุเรียนอ่อนจำหน่าย จึงเป็นอีกเรื่องที่ทางจังหวัดศรีสะเกษจะพยายามดำเนินการอย่างไรที่ไม่ให้เกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องขอความร่วมมือจากเกษตรกรว่าจะต้องไม่ทำลายชื่อเสียงทุเรียนของศรีสะเกษด้วยการตัดทุเรียนอ่อนมาจำหน่าย ต้องทำให้ผู้บริโภคที่รับประทานทุเรียนของศรีสะเกษ ต้องได้รับประทานเฉพาะทุเรียนที่มีความแก่พร้อมรับประทาน การทำให้เกิดในเรื่องของคุณภาพและความแตกต่าง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุเรียนของศรีสะเกษสามารถไปแข่งขันในตลาดได้”

ส่วนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับอาชีพการทำสวนไม้ผล เช่น การขาดแคลนแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการแก้ไข เช่น การขุดลอกแหล่งน้ำเดิมเพื่อให้มีน้ำใช้ในการทำสวน เป็นต้น

สร้างโคเนื้อเป็นอาชีพใหม่

ขณะเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ยังกล่าวถึงการพัฒนาอาชีพโคเนื้อ ซึ่งเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดีว่า จากที่ศึกษาข้อมูลพบว่า การเลี้ยงโคเนื้อเป็นอาชีพที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังใช้พื้นที่ในการเลี้ยงไม่มาก แต่สามารถจำหน่ายได้ราคา โดยได้ปรึกษากับปศุสัตว์จังหวัดศรีสะเกษแล้วที่จะทำโครงการส่งเสริมพัฒนาสายพันธุ์โค โดยวางเป้าหมายที่จะนำน้ำเชื้อโคพันธุ์วากิวเข้ามาดำเนินการผสมเทียมให้กับเกษตรกรเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์

“ขณะนี้โคเนื้อที่เลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์พื้นเมืองและมีการพัฒนาด้วยการนำน้ำเชื้อชาร์โรเล่ส์เข้ามาผสม ซึ่งเมื่อจำหน่ายแล้วจะได้ราคาเฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 กว่าบาท แต่หากนำน้ำเชื้อโคพันธุ์วากิวเข้ามาผสม จะสามารถยกระดับราคาจำหน่ายได้สูงขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 200 กว่าบาท ซึ่งเห็นได้ว่าแตกต่างกันเป็นอย่างมาก และจะช่วยสร้างอนาคตที่ดีให้กับเกษตรกร” ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวทิ้งท้าย

Leave a comment