เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (3)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05083010659&srcday=2016-06-01&search=no

วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 624

คนปศุสัตว์เล่าเรื่อง

สุพจน์ ศรีนิเวศน์ ปิยศักดิ์ สุวรรณี โทร. (081) 921-2328

เสน่ห์แห่งมวกเหล็ก และทับกวาง (3)

ผู้เขียนมีข้อคิดเก็บมาฝากให้ท่านผู้รู้ได้ช่วยกันคิดถึงในเรื่องดังต่อไปนี้

1. จากคนรุ่นโบราณๆ (Old fart) ผู้เขียนเห็นว่า วัวพวก Bos taurus (ตระกูลยุโรป) ไม่เหมาะจะเลี้ยงในเขตร้อน-ชื้น เห็บและแมลงชุกชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เรียกว่า Tick fever หรือไข้เห็บ หรือ Piroplasmosis และ Anaplasmosis เพราะมันไม่มีความต้านทานต่อโรคนี้เลย ซึ่งตรงข้ามกับวัวตระกูล Bos indicus หรือ Zebu (วัวแขก), วัวไทย มีความต้านทานต่อโรคนี้ โดยธรรมชาติเลี้ยงวัวฝรั่งน่ะเลี้ยงได้ แต่ท่านต้องนึกถึง วัคซีน-ยารักษาโรค-การดูแลการจัดการในด้านโรงเรือน และอาหาร รวมทั้งเวลาที่ต้องอุทิศให้กับมัน มันคุ้มกันหรือไม่ จากที่ได้สัมผัสมาที่ทับกวาง เรามีโคลูกผสมยุโรป x ตระกูลซีบู 50 : 50 ไม่มีปัญหาเรื่องโรคไข้เห็บ และ Anaplasmosis เลย แถมให้นมใช้ได้ทีเดียว หนทางที่แก้ไขได้อย่างถาวรที่จะมีวัวนมที่เหมาะสมในเขตร้อน-ชื้นก็คือ การผสมข้ามพันธุ์ระหว่างวัวยุโรป และวัวอินเดีย (Red Sindhi) เลือดอย่างละ 50% ก็พอ สร้างเป็นพันธุ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ ที่เราเรียกกันว่า Synthetic Breed ขอเน้นว่ามันอยู่ที่การ Selection ในเรื่องของ Hardiness และ Production ให้พอดีๆ ต่อกันและกัน การผสมข้ามพันธุ์วัวนมเหมือนกับเราเล่นคานกระดก (teeter totter) ถ้าเลือกความเข้มแข็งสูง (vigor) คือมีเลือดซีบูสูง ปริมาณนมก็จะลดลง ในทางตรงกันข้ามถ้าเลือกวัวให้ผลผลิตสูง (Production) แบบวัวฝรั่ง ความแข็งแรงก็จะลดน้อยลงไป อยู่ที่ Selection ให้พอเหมาะพอดี อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าผู้ที่เลี้ยงวัวเลือดสูงๆ คงทราบถึงทุนรอนที่ท่านทุ่มเทลงไป ขอให้ผลิตแบบ Optimum Production จะดีกว่า ไม่เหนื่อยด้วย!

2. ในข้อนี้ผู้เขียนอาจผิดพลาดก็ได้ โดยที่ได้เคยเห็นวัวลูกผสมบราวน์สวิส โฮลสไตน์ฟรีเชี่ยน (ขาวดำ) และเจอร์ซี่มา เห็นได้ชัดว่า เต้านมของลูกผสมที่เกิดจากพ่อบราวน์สวิสกับเรดซินดิ มีทรวดทรงที่สวยงาม ไม่ออกเป็นรูปกรวยจัด เต้านมมีขนาดสม่ำเสมอ ไม่ใหญ่โตเทอะทะ หัวนมไม่ยาวเกินไป การยึดติดกับลำตัวที่ส่วนท้าย ส่วนใหญ่งดงามกว่า อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างข้อมูลที่มองเห็นก็เห็นในช่วงมีการผลิตลูกผสมวัวนมในช่วง 11-12 ปีนั้น การใช้พ่อพันธุ์เจอร์ซี่ให้ผลการให้นม และลักษณะเต้านมของลูกที่ได้ ก็แสดงออกมาในแนวเดียวกับบราวน์สวิส ต่างกันก็อยู่ความจริงที่ว่า ถ้าอยากได้ไขมันสูงจงมองไปที่เจอร์ซี่ การให้ปริมาณนมที่สูงกว่าก็ต้องมองไปที่บราวน์สวิส ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ (nature) ของวัวนม คือถ้านมมาก ไขมันต่ำลง แต่ทว่าถ้าไขมันสูง ปริมาณน้ำนมก็จะน้อย เป็นไปตามธรรมชาติของสัตว์ให้นม

จากการที่ได้พบได้เห็นวัวลูกผสม ระหว่างบราวน์สวิส และลูกผสมของขาว-ดำ ในบ้านของเรา และในสหรัฐอเมริกาที่ใช้พ่อพันธุ์ขาวดำผสมกับแม่บราห์มัน เพื่อเอาลูกมาทำเป็นแม่ตัวรับฝากตัวอ่อน (recipient) พบว่าเต้านมของวัวลูกผสมพวกนี้ เต้านมไม่สวยไม่สม่ำเสมอ เทอะทะ ผู้เขียนมองเห็นว่าลูกผสมนี้สู้ลูกผสมจากบราวน์สวิส หรือเจอร์ซี่ไม่ได้ ขอคาดคะเนเดาว่าน่าจะเป็นลักษณะจำเพาะ การรวมตัวของยีน (nicking) ของพันธุ์บราวน์สวิสทำได้ดี และเข้ากันดีในการสร้างเต้านม และระบบของการผลิตน้ำนมโดยเฉพาะก็เป็นได้ น่าเสียดายว่า บราวน์สวิสเราใช้งานมาราว 11-12 ปี เท่านั้น และไม่ได้ใช้ต่อมาอีกเลย ข้อมูลจึงยังไม่น่าเชื่อถือนัก และสังเกตต่อมาว่า วัวบราวน์สวิสทนร้อนได้ดีกว่าวัวนมพันธุ์ยุโรปพันธุ์อื่นๆ และโปรดระลึกเสมอว่า วัวพันธุ์สวิสควรจะใช้ American Brown Swiss เท่านั้น เพราะเกษตรกรสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนรูปร่างของวัวบราวน์สวิส เป็นลักษณะวัวนมสมบูรณ์แบบแล้ว ตรงข้าม European Brown Swiss ยังเป็นลักษณะกึ่งเนื้อกึ่งนมอยู่มาก (Dual purposes) มีลักษณะเป็นวัวเนื้อมากกว่า

คงจะเป็นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้กระมัง ที่ทำให้ผู้เขียนมีความไม่เห็นด้วยตลอดมาในการนำวัวพันธุ์แท้พันธุ์ยุโรป (Bos taurus) มาเลี้ยงในบ้านเรา เนื่องจากเป็นการฝืนธรรมชาติของสัตว์และต้องใช้เงินดูแลรักษาสูงมาก และในที่สุดก็ฝืนธรรมชาติไม่ได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อตอนกลางปี พ.ศ. 2503 ฯพณฯ ร.ม.ต. เกษตร พล.อ. สุรจิต จารุเศรณี ได้สั่งวัวบราวน์สวิสจากสวิตเซอร์แลนด์เข้ามา 21 ตัว เป็นตัวเมีย 17 ตัว ตัวผู้ 4 ตัว อายุระหว่าง 15-21 เดือน ซึ่งผู้เขียนรู้ตัวล่วงหน้าจากทางกรมปศุสัตว์ 1 วัน ก่อนวัวจะมาถึง จึงได้จัดเตรียมคอกโคนมที่สร้างเสร็จใหม่ๆ 2-3 วัน แบบ Stanchion barn หลังคา 2 ชั้น (tier roof) มุงด้วยสังกะสี ร้อนพอควร จึงได้ติดตั้ง sprinkler บนหลังคาไว้ด้วย ช่วยคลายความร้อนลงไปได้บ้าง แต่ความเป็นจริงแล้ว ไม่เข้าท่าหรอก เพราะน้ำที่ใช้เป็นน้ำบ่อน้ำซับธรรมชาติต่อท่อลงมา หมุนได้แต่ได้ไม่กี่วัน ขี้ผงเศษใบไม้ไหลเข้ามาอุดตันหัวสปริงเกลอร์หมด ต่อมาก็เลิกใช้เพราะขี้เกียจปีนหลังคาไปเอาขี้ผงออก สังกะสีร้อนๆ โดนน้ำเข้ายิ่งอบอ้าวไปใหญ่

บังเอิญแปลงหญ้าใกล้ๆ คอกวัวนมถูกปรับปรุงเป็นอย่างดีแล้ว พร้อมปลูกข้าวโพดเผื่อจะเอามาตัดให้วัวนมกินบ้าง มีคอกสัตว์ มีพืชอาหารสัตว์พร้อมมาก คนกลับมาจากเมืองนอก (เดนมาร์ก) ใหม่ๆ มันคึกอยากลองวิชางานวัวนมที่ฝึกกลับมาใหม่ๆ จึงขยันเกินตัว (He”s more Catholic than the Pope) อ้อ! ลืมเล่าให้ฟังไปว่า เมื่อใกล้จบจากบางเขนและยังเป็น Trainee ทำงานวิจัยสุกรช่วยคุณซอนเดอร์กอรด์ท่านอยู่ ท่านมักจะมาทำงานที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวางในทุกๆ วันเสาร์และอาทิตย์ เกณฑ์เอาผู้เขียนมาด้วยเป็นประจำ งานวิจัยพันธุ์ลูกผสมสุกรพันธุ์ต่างๆ มีมาก เช่น

– Duroc x Hainan

– Hamshire x Hainan

– Large white x Hainan

– Berkshire x Hainan

ทดลองและศึกษาลักษณะที่สำคัญๆ ทางเศรษฐกิจ เช่น

– Litter size

– Birth weight

– Weaning weight และ Number of weaners

– Weight at six months of age

– Age at 90 kgs. Weight เป็นต้น

จำได้ไม่หมด หมูมันมีหลายตัว แกชอบมาทำงานเอาแถวๆ 4 โมงเย็น ซึ่ง 5 โมงเย็น คนงานเขากลับกันหมด เหลือเรา 2 คน ช่วยกันคัด ช่วยกันแยก จับตัวนี้ไปอยู่กลุ่มโน้น มากมายจนตาลาย ผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศปล้ำหมูเองด้วย สนุกดีอยู่หรอก แต่มันเริ่มค่ำแล้วชักมองสีหมูไม่ออก คนหนุ่มเริ่มหิวแล้ว นึกไปว่า ท่านกลับบ้านท่านมีคนทำให้กินอยู่แล้ว ส่วนเรากลับบ้านไม่มีอะไรเลย รถราไม่มีใช้ พรรคพวกก็คอยเพื่อจะเดินนับไม้หมอนรถไฟ จากทับกวางไปแก่งคอย ราว 5 กิโลเมตร หาข้าวกิน และติดมื้อเช้ากับกลางวันมาด้วย “ความหิวทำให้โกรธ” เลยใช้วิชารักบี้ไล่แท็ก (tackle) จับหมูทดลองใส่เล้าอย่างเมามัน เออมันก็เสร็จเร็วดีแฮะ วันจันทร์ต่อมา คุณซอนเดอร์กอรด์ แกเดินมาหาที่โต๊ะทำงานผู้เขียน ท่านถามว่า “อยากไปเดนมาร์กไหม ไปฝึกงาน (Practical training) ในฟาร์มวัวนมที่นั่น” ผู้เขียน “งง” เอามากๆ เพราะเกิดมาไม่เคยไปเมืองนอกกับเขา ท่านพูดออกมาว่า “เป็นเพราะ you ขยัน และทำงานหนักได้” ผู้เขียนตอบไปว่า “yes” เอาวันรุ่งขึ้น พร้อมๆ กับนึกอยู่ตลอดเวลาว่า “เป็นเพราะโมโหหิวแท้ๆ ทำให้เขามองว่าเรา ทำงานดี และสู้งานดี คุณซอนเดอร์กอรด์ ท่านไม่ทราบหรอก” แต่สอนว่า อย่าไปคิดว่า you จบปริญญาแล้วจะเก่งทุกอย่าง จงลืมเรื่องนี้เสีย และสนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เดนมาร์ก “ผู้เขียนรับคำ” ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคเลย กลับมีความแข็งแกร่งที่รู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณชาวเดนมาร์กมาก (เดินทางไปเมื่อ 9 พฤษภาคม 2501 ใช้เวลา 1 ปี พอดี)

ใช้พื้นที่ไปกว่า 1 หน้ากระดาษ เล่าเรื่อง “โมโหหิว” ตอนนี้ขอกลับมาเรื่องเดิม จะได้จบๆ เร็วๆ จำได้เมื่อต้นปี พ.ศ. 2503 วัวบราวน์สวิสจากสวิตเซอร์แลนด์ ทั้ง 21 ตัว ก็มาถึงที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง พร้อมเด็กเลี้ยงวัวของเขา 1 คน ชื่อ Martin Brunsweiler (พรรคพวกที่เราเรียก ไอ้ตี๋ เพราะเรียกง่ายกว่า) มาพักที่บ้านเรือนเขียวหลังเก่ง ที่คุณซอนเดอร์กอรด์เคยพักนั่นแหละ ขออนุญาตเรียนเล่าเป็นข้อๆ เป็นตอนๆ ไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ ดังนี้

– วัวทุกตัวเข้าซองยืนโรงแบบ stanchion barn หมด

– อาหารและน้ำพร้อมสมบูรณ์ คนเลี้ยงดู เอาใจใส่ทุกคน

– มีเหลือบจากชายๆ ป่า บินมากินเลือดวัวบ้าง มันก็ดิ้นไม่ถนัด เพราะติดโซ่คอ stanchion นายตี๋แกตื่นแต่เช้ามาดูวัวของแกทุกวัน และอยู่ที่คอกจนค่ำ

– อยู่ในคอกได้ 5 วัน ก็เริ่มปล่อยในแปลง paddock ใกล้ๆ คอกให้ออกกำลังกาย เพราะวัวของเขาไม่เคยถูกกักขัง อยู่แต่ในทุ่งหญ้า หุบเขาแอลป์อันกว้างใหญ่ อากาศเย็นสบาย

– หลังจากปล่อยแปลงหญ้าใกล้ๆ คอกราว 28 วัน ทางท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ (คุณสำเนียง ศรมณี) ได้แจ้งไปทางทับกวางให้เอาตัวนายผู้เขียน และนายตี๋ ไปกินข้าวกลางวันที่บ้านด้วย (ไม่เคยรู้ว่าเป็นวันเกิดของท่าน) นายตี๋ได้รับการต้อนรับพูดคุยเป็นอย่างดีจากคนในวงการทุกท่าน จนเขามีความสุขมาก นายตี๋พูดภาษาสวีเดน ส่วนผมพูดภาษาเดนมาร์ก คล้ายๆ กับ ลาวกับไทย เพราะนายตี๋แกพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น

– เย็นๆ ก่อนค่ำก็กลับมาทับกวาง นายตี๋แกรีบไปดูวัวของแกทันทีเลย นายตี๋ตกใจรีบวิ่งไปที่ตัววัว เพราะมีอาการคอตก ซึม จับที่ใบหู ใบหูร้อนจัด แสดงว่าตัวร้อนจัดด้วย ตอนนั้นมีสัตวแพทย์ประจำสถานีเพื่อนบางเขนรุ่นเดียวกัน ทางสถานีจึงแจ้งไปที่กองส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ (ในขณะนั้น) หัวหน้ากองคือ อาจารย์รัตนะ อุนยะวงษ์

– ได้ส่ง นายสัตวแพทย์ปิยะ อรัณยกานนท์ และคณะของนายสัตวแพทย์จากกองต่างๆ มารวมกันอีก 6 คน มาพักที่หออบรมของสถานี ผู้เขียนเรียกท่านว่า พี่ปิยะ มานานแล้ว และท่านก็เป็นพี่ เป็นปูชนียบุคคลที่ผมนับถือมาจนทุกวันนี้ไม่เสื่อมคลาย ส่วนบุคคลอื่นๆ ก็พี่ๆ น้องๆ มาทำงานในเวลาไล่เลี่ยกัน นึกชื่อได้ไม่หมด เช่น หมอเหรียญชัย หมอนุกุล หมออุดม หมอสมเจตน์ ไตติลานนท์…ทุกคนทำงานหนักมาก เลิกงาน 3-4 ทุ่ม ทุกคืน

– พี่ปิยะ ได้เจาะเลือดที่ jugular vein ตรงลำคอเอาเลือดมาตรวจส่งกล้องดู ก็พบเชื้อ Babesia เกิดจากเห็บไปกัดวัว แล้วปล่อยเชื้อนี้เข้าไปในสายเลือด เชื้อ Babesia เป็นเชื้อที่เรียกกันว่า Rickettsia อยู่ระหว่าง Protozoa กับ Bacteria

– ผู้เขียนขออภัย ถ้าผิดพลาดในคำบอกเล่านี้ การทำงานของมันนี่พอรู้ก็คือ เข้าไปในกระแสเลือดแล้ว มันทำลายเม็ดโลหิตแดงจนแตก เลือดถูกส่งผ่านเข้าไปในม้าม (Spleen) ม้ามพยายามกลั่นกรองเลือด อำนาจของ rickettsia สูง ทำให้ไตกลั่นกรองไม่ได้ เลือดจึงปนมากับปัสสาวะของวัว คือเป็นหนักมากจนถ่ายปัสสาวะออกมาเป็นเลือด วัวยุโรปไม่มีความคุ้มต่อโรคนี้เลย อุณหภูมิของร่างกายวัวจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากถูกเชื้อทำงาน คือจากปกติ 97-98 องศาฟาเรนไฮต์ เป็น 102 องศาฟาเรนไฮต์ 103 องศาฟาเรนไฮต์ 105 องศาฟาเรนไฮต์ และอาจถึง 107 องศาฟาเรนไฮต์ แล้วตายทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ตอนเริ่มเป็นจับใบหูวัวดู จะร้อนจัดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ขอบตาซีด ผิวหนังส่วนที่พอเห็นได้ก็ซีดด้วย ตัวเมียบริเวณที่ช่องคลอดซีด ไม่มีสีเลือดเลย

– ไม่มีใครโทษใคร ทุกๆ คนรวมทั้งผู้เขียนไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยเห็น รวมทั้งพี่ปิยะของผมด้วย

– พี่ปิยะขอให้กรมส่งอาคาปริน ซึ่งทั้งประเทศมีในขณะนั้น ที่บริษัทไบเออร์อยู่ 2-3 ขวด วัวตัวที่ถูก Treat ด้วย Acaprin ไข้ลดลง ระยะหนึ่งแล้วก็มีไข้อีก จึงตัดสินใจว่า เพราะเลือดวัวมันน้อยถูกทำลาย ควรทำ blood transfusion (ให้เลือด) กันดีกว่า เผื่อจะช่วยได้บ้าง (ความจริงยิ่งถ่ายเลือด ยิ่งเพิ่มเชื้อ)

– ก็ไปเอาวัวที่พอจะคัดๆ ทิ้งมาเจาะเลือดเพื่อดูดเลือดที่คอ เอาไปถ่ายให้วัวป่วย วัวป่วยทุกตัวมีอาการกระเตื้องขึ้นได้สอง สามวัน hemoglobin ก็ลดลงอีก นับเป็นการทำ blood transfusion กับวัวเป็นครั้งแรกของเมืองไทย

– พี่ปิยะมักจะลงมือทำเอง ในการเจาะเลือด และมักจะเรียกเจ้าจำนำ คือผู้เขียนเป็นคนจับวัว ปล้ำวัว แกว่าผู้เขียนจับแล้วมั่นใจดี ตอนนั้นอายุก็ 28- 29 ปีแล้ว ยังฟิตอยู่มาก สรุปกันดีกว่า คือได้ทำงานแล้วสนุกและมีความสุขอยู่เสมอ

– ทุกท่านที่มาทำงานทุ่มเทกันสุดหัวใจ เพราะเป็นงานใหม่ที่ท้าทายอนาคตอยู่มาก

– ผู้เขียนเองไม่อยากให้ใครลำบากเกี่ยวกับวัวยุโรปพันธุ์แท้เลย มีการสั่งเข้ามาตามแหล่งต่างๆ ส่วนใหญ่เป็น Holstein Friesian ทั้งจาก USA, Australia, New Zealand และ Canada เท่าที่ทราบเอามาลงที่เชียงใหม่ (ห้วยแก้ว) บ้าง ที่ดอยสะเก็ดบ้าง ที่สระแก้วบ้าง ที่บึงสามพัน เพชรบูรณ์บ้าง ที่ราชบุรีบ้าง อยู่ได้ปีแรกๆ ไม่นาน ที่ อ.ส.ค. ก็เคยสั่งวัวสาวจาก New Zealand เข้ามา 60-70 ตัว ลืมๆ ไป 2-3 ปี แหล่งที่กล่าวมาทั้งหมดก็เลิกเลี้ยงกันไป ค่อยๆ Fade away and vanished into thin air กลายเป็นตำนานเล่ากันต่อมา

– ผู้เขียนอ้อมนอกเรื่องไปอีกแล้ว อย่าไปด่าใครที่มาช่วยกันดูแลวัวบราวน์สวิส ที่ทับกวาง มันเป็นของใหม่ประการหนึ่ง และเป็นงานที่ฝืนธรรมชาติ แห่งความเป็นจริงประการหนึ่ง แต่การฝืนธรรมชาตินี้เป็นเรื่องใหญ่ อาจทำได้แต่ต้องลงทุนสูงมาก ผู้เขียนเห็นว่าทุกคนทุ่มสุดหัวใจแล้ว ไม่สมที่ตั้งใจไว้ก็เป็นเรื่องที่สุดวิสัยจริงๆ ตามความจริงที่เล่ามาตั้งแต่ต้น

– การประคับประคองรักษาปราบปรามโรค Babesia กับ บราวน์สวิส 21 ตัวนั้น อดหลับอดนอน ถ่ายเลือดให้ยา เป็นเวลา 3 เดือนเต็มๆ วัวก็ตายวันละตัวสองตัว ปราบกันจนโรคสงบ เพราะว่า “วัวมันตายหมด”

หลังจากนี้ ในปี พ.ศ. 2525 กองผสมเทียมได้มาขอตั้งสถานีผสมเทียมบริเวณปากทางเข้าสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง ใช้เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ในปี พ.ศ. 2549 กองส่งเสริมปศุสัตว์ ได้มาขอร่วมใช้พื้นที่ของสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ทับกวาง อีกราว 3,000 ไร่ ทุกอย่างที่จะขอเรียนให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ทับกวางได้มีโอกาสรับงานที่เกี่ยวกับวัวอย่างหนักหน่วง นับแต่ปี พ.ศ. 2501 มาจนถึง พ.ศ. 2526 ในช่วงปี พ.ศ. 2506-2508 กรมปศุสัตว์ได้สั่งวัวเดว่อน (Devon) วัวเนื้อต้นกำเนิดในอังกฤษ มาจากออสเตรเลียจำนวน 58 ตัว มีตัวผู้ 8 ตัว ที่เหลือเป็นตัวเมีย รวม 50 ตัว และก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อนเหมือนกัน มาถึงทับกวางราวๆ ปลายเมษายน 2506 วัวเดว่อนเป็นวัวเนื้อขนาดเล็กที่สุดในขบวนวัวเนื้อพวก Taurus ด้วยกัน ขนยังยาวปุกปุย สีแดง เลี้ยงดู โดยปล่อยแปลงหญ้าขน ที่กำลังทรุดโทรม และกำลังจะงามขึ้นเพราะเริ่มได้ฝน ดูเหมือนว่าจะมีเห็บเกาะกินเลือดน้อยกว่าพวกบราวน์สวิส อยู่มาตั้งนาน ขนไม่ร่วงหลุดบ้างเลย ผอมลงๆ แล้วก็ค่อยๆ ทยอยตายไปจนหมด ผสมพันธุ์ก็ไม่ติดท้องเลย วัวเดว่อนจึงกลายเป็นวัวเด๊ดว่อน (Dead Von) ไปเสียฉิบ ซึ่งต่างกับวัวบราห์มันมาก เพราะเคยนำเข้าวัวบราห์มัน (ราวๆ ปี 2518) มาถึงทับกวางกลางเดือนธันวาคม ขนมันยาวปุกปุย มันปรับตัวเก่งขนาดไหนลองคิดดู พอถึงหน้าหนาวที่บ้านมัน มันก็ใส่เสื้อกันหนาวที่เรียกว่า Winter coat พอมาอยู่ทับกวางมันก็เหมือนๆ หน้าร้อนนั่นแหละ ไม่ถึง 7 วัน ขนปุกปุยนั้นถูกสลัดทิ้งจนเกลี้ยง จึงขอให้นักเลี้ยงวัว จงดูวัวในด้าน adaptivity ของสัตว์ให้มากๆ ด้วย นี่เป็นข้อที่ควรคิดของทุกคน สรุปแล้ววัว Devon ก็สูญหายไปจากทับกวาง ผู้เขียนโดนสวดมากพอสมควร รู้สึกเสียใจที่ไม่มีโอกาสช่วยมันเท่าที่ควร ถัดมาก็เจ้าวัว Drought Master (เดร้าท์มาสเตอร์) ตัวผู้ 222 ตัว เมีย 223 ตัว จากออสเตรเลีย รวม 445 ตัว ทีแรกไปอยู่ที่ปากช่อง (บริเวณศูนย์อาหารสัตว์ขณะนี้) ขนมันสั้นเกรียนดี ผิวเรียบ จู่ๆ ก็โดนย้ายมาอยู่ที่ทับกวาง ผลที่สุดผู้เขียนขอให้ส่งกลับปากช่องเพราะมันเหนื่อยหอบง่าย คงทนความชื้นไม่ได้ หอบบ่อยๆ เลยต้องขอให้กลับไปไว้ที่ปากช่อง การเวลาล่วงเลยทั้งหมดก็ Fade away สูญไปจากกรมปศุสัตว์ เท่าที่ทราบในออสเตรเลียเขาเลี้ยงกันได้ดีในเขต semi desert (กึ่งๆ ทะเลทราย) และใกล้ๆ ขอบๆ ประเทศ ในรัฐ Queensland เข้าใจว่าวัวพันธุ์นี้น่าจะเลียนแบบพันธุ์ Beefmaster ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ใช้สัตว์เริ่มต้น จำนวนมหาศาลและใช้วิธีคัดเลือก อย่างชนิดที่เรียกว่า Practical production Concept คือเอาแต่ลักษณะที่สำคัญทางเศรษฐกิจเท่านั้น สีไม่สำคัญ พันธุ์นี้จึงถือว่าเป็นวัว synthetic breed ที่ดีที่สุดในโลก (เริ่มสร้างเป็นทางการจริงๆ เมื่อปี พ.ศ. 2473) ที่เมือง Falfurias, Texas ชื่อ Lasater Ranch เบื้องหลังจริงๆ มีเลือดบราห์มันอยู่ 50% มีเลือดเฮียร์ฟอร์ดอยู่ 25% และ Milking shorthorn อยู่ 25% วัวพันธุ์นี้เลี้ยงได้ทุกจุดของประเทศไทย ให้ผลตอบแทนดีด้วย วัวแซนต้าเกอร์ทรูดิส Santa Gertrudis สร้างที่เมือง Kingsville รัฐเท็กซัส ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก มุ่งเน้นไปที่สีแดง ปลอดอย่างเดียว ไม่ได้ห่วงลักษณะ Production record เลย เน้นว่าต้องเป็นวัวสีแดงที่พ่อวัว ตัวแรกคือ Tipo และ Cotton ต่อมาก็เน้นสีไป Inbreeding กับเจ้า Monkey วัวแซนต้าเกอร์ทรูดิสนี้มีลักษณะที่ sheath หย่อนยานโดยทั่วไป แถมไม่คัดเลือกแก้ไข จนผู้คนนิยมลดน้อยลง จัดเป็นวัวขนาดใหญ่มีเลือด Beef shorthorn อยู่ 62.5% และเลือดบราห์มันอยู่ 37.5% ของกรมปศุสัตว์ ตัวผู้ 5 ตัว ตัวเมีย 34 ตัว รวม 39 ตัวส่วนฟาร์มโชคชัยสั่งตัวผู้ 5 ตัว ตัวเมีย 80 ตัว รวม 85 ตัว เอามาเลี้ยงที่ปากช่อง –> ทับกวาง –> ท่าพระ ไปสูญพันธุ์ที่ท่าพระ ที่ทับกวางหลังจากมีวัวนอกเข้ามาอยู่มากมาย จึงได้มีที่พ่นยาเห็บ (Cattle spray race) 15 วัน เห็บวัวทุกๆ 1 ชุด ไว้พ่นยาฆ่า ต่อมาทับกวางก็กลายเป็นที่กักกันวัวบราห์มันจากต่างประเทศ อีกหลายเที่ยวบินเลยกลายเป็นผู้สันทัดกรณีอย่างไม่รู้ตัว (It was a great experience before I know)

ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขออภัยท่านผู้อ่านทุกท่านว่า ในการเลี้ยงวัวเนื้อ-วัวนม ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ ผู้ที่ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ต้องตั้งสติและเข้าใจธรรมชาติของชาติพันธุ์ของสัตว์นั้นๆ เช่น เอาวัว Bos taurus (วัวยุโรป) มาใช้ในเขตร้อนชื้น ท่านต้องเข้าใจธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ ว่าจะปรับตัวได้ขนาดไหน และการที่ต้องเอา Bos taurus มาผสมกับ Bos indicus ท่านจำเป็นต้องรู้เนื้อในของธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ แล้วค่อยเอามาใช้ ถ้าผิดพลาดมันเสียเวลาเพราะใช้เวลานานมาก ผิดกับพวกเป็ด ไก่ หมู แพะ แกะ รู้ก็ควรจะรู้ให้จริง ทำได้ดังนี้ทุกท่านคงประสบผลสำเร็จแน่นอน อย่าลืมว่าวัวถ้าอากาศร้อน (อาจถึง 40 องศา) แล้วความชื้นต่ำมันพอทนไหว แต่ถ้าร้อนแล้วชื้น วัวไม่ชอบเลย (โดยเฉพาะวัวยุโรป) ท่านคงจะเห็นภาพว่า วัวต่างๆ ที่นำเข้าโดยเฉพาะเชื้อสาย taurus ล้มตายจากพวกเราหลายพันธุ์ด้วยกัน แม้เรดซินดี้ที่นำเข้าเมื่อปี พ.ศ. 2511 จำนวน 112 ตัว (ตายระหว่างเดินทาง 1 ตัว) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 เราก็ขายออกไปในปี พ.ศ. 2540 โดยกองบำรุงพันธุ์สัตว์ ไม่คิดจะทำประโยชน์จากมันต่อ ผู้เขียนขอเตือนสติผู้เลี้ยงวัวทั่วไป คิดให้ละเอียดเสียก่อนว่า “What is best for man may not be best for animals as far as survival of the species is concerned”

Leave a comment