ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 31 ต.ค. 2559 05:30
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/769047

ปม 7-11 เขี่ยเอไอเอสออกจากร้าน ขอขึ้นมาร์จิ้นจาก 5 เป็น 7% ระบุเอไอเอสไม่ใช่รายใหญ่รายเดียวอีกต่อไปเหมือนเมื่อก่อน รายอื่นก็ใหญ่เหมือนกัน ด้านกสทช.พร้อมเป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ไม่สามารถใช้อำนาจสั่งการได้ ปล่อยเป็นไปตามกลไกตลาด
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า รับทราบเรื่องการยุติการขายและให้บริการบัตรเติมเงินวันทูคอลของเอไอเอสในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) แล้ว และแม้ปัญหาดังกล่าวจะทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวก แต่เนื่องจากเป็นเรื่องทางธุรกิจระหว่าง 2 บริษัท ทาง กสทช.จึงไม่มีอำนาจที่จะไปก้าวล่วงและเห็นว่าไม่ควรจะไปก้าวล่วงด้วย
“สำนักงาน กสทช.พิจารณาเรื่องนี้โดยละเอียดแล้ว พบว่าเป็นเรื่องทางการตลาดระหว่าง 2 บริษัท ซึ่งเจรจากันไม่ลงตัว เรื่องนี้ กสทช.ไม่มีอำนาจและไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นเรื่องของการตลาด”
อย่างไรก็ตาม กสทช.ได้รับการแจ้งอย่างไม่เป็นทางการจากบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งแม้จะเป็นคนละบริษัทกับร้าน 7-11 แต่อยู่ในเครือ ซี.พี. เหมือนกัน โดยทรูชี้แจงว่า เอไอเอสไม่ยินยอมที่จะจ่ายค่าผลตอบแทนในการขาย (มาร์จิ้น) บัตรเติมเงินวันทูคอลเพิ่ม ทำให้ 7-11 ตัดสินใจยกเลิกการวางจำหน่าย
โดยมาร์จิ้นที่เรียกเก็บจากการขายวันทูคอลนั้น เอไอเอสจ่ายในสัดส่วนที่น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับดีแทคและทรูมูฟเอช แต่ขณะนี้ 7-11 มีนโยบายที่จะจัดเก็บในอัตราที่เท่ากัน โดยยอมรับว่าก่อนหน้านี้ การที่เอไอเอสได้ส่วนลดมากกว่ารายอื่น เพราะบัตรเติมเงินวันทูคอลมียอดจำหน่ายมากที่สุด แต่ปัจจุบันทุกค่ายมียอดจำหน่ายที่ใกล้เคียงกัน เนื่องจากดีแทคและทรู ให้ชำระเงินสำหรับลูกค้าระบบรายเดือน (โพสต์เพด) ด้วย แต่เอไอเอสขายเฉพาะบัตรเติมเงิน (พรีเพด) อย่างเดียว ทำให้สัดส่วนรายได้จาก 3 ค่ายมือถือในปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกันแล้ว จึงเห็นควรยกเลิกส่วนลดดังกล่าวเสียที เพื่อให้จ่ายผลตอบแทนให้เท่าเทียมกัน แต่เมื่อเอไอเอสไม่ตกลง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องนี้เป็นเรื่องทางธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าบริการที่จะทำให้ลูกค้าเดือดร้อน แต่แน่นอนการที่ร้าน 7-11 ไม่ขายบัตรเติมเงินวันทูคอลนั้น ทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวก เนื่องจาก 7-11 มีสาขาครอบคลุมกว่า 9,000 สาขา จึงได้ให้นโยบายแก่รองเลขาธิการ กสทช.ด้านโทรคมนาคมไปแล้วว่า หากทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา ไกล่เกลี่ยให้ตกลงกันได้ ก็จะเป็นเรื่องดี แต่ก็คงต้องรอดูท่าทีจากเอไอเอสก่อน ว่าต้องการให้ กสทช.เข้าไปช่วยเป็นตัวกลางหรือไม่ เนื่องจากได้รับการชี้แจงจากทางทรู ในฐานะ 7-11 แต่ฝ่ายเดียว ทางเอไอเอสยังเงียบเฉยอยู่”
ทั้งนี้เมื่อปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา 7-11 ได้ยุติการขายและให้บริการเติมเงินวันทูคอล สำหรับลูกค้าเอไอเอส หลังจากที่ได้แจ้งเอไอเอสว่าจะขอปรับขึ้นค่าผลตอบแทนในการขาย (มาร์จิ้น) จาก 5% เป็น 7% ให้เท่ากับที่เก็บจากดีแทค 6+1% และทรูมูฟเอช 7% แต่ทางเอไอเอสไม่ตกลงและขอเวลาในการเจรจาร่วมกันก่อน ทำให้เซเว่นฯ ตัดสินใจยุติการสั่งซื้อบัตรเติมเงินวันทูคอลทันที แม้ว่าในแต่ละปีร้านเซเว่นฯ จะมีรายได้จากการให้บริการเติมเงินแก่ลูกค้าวันทูคอลถึงปีละ 1,000-1,200 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ล่าสุดปรากฏว่าตู้บุญเติมที่อยู่หน้าร้านเซเว่นฯ ได้เปิดตัวโปรโมชั่นเติมเงินวันทูคอล 50 บาทขึ้นไปจะได้รับการยกเว้นค่าบริการทันที จากปกติลูกค้าที่เติมเงินวันทูคอลผ่านตู้บุญเติมหน้าร้านเซเว่นฯนั้น หากเติม 50 บาท จะต้องเสียค่าบริการ 3 บาทเสมอ ซึ่งโปรโมชั่นดังกล่าวเป็นการทำร่วมกันระหว่างเอไอเอสและตู้บุญเติม โดยเอไอเอสกำลังทยอยเปิดตัวโปรโมชั่นที่ทำร่วมกับช่องทางจำหน่ายอื่นๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าวันทูคอล.
ข่าวเกี่ยวข้อง
กสทช. เผย ยังไม่มีลูกค้าได้รับผลกระทบ หลัง เซเว่นเลิกขาย ‘วัน-ทู-คอล’