นักวิชาการ ชี้ทรัมป์หรือฮิลลารี ชนะเลือกตั้งปธน.มะกัน กระทบไทยอย่างไร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 7 พ.ย. 2559 17:40

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/776362

 

นักวิชาการ ห่วงส่งออกไทยรับผลกระทบ หลังเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ มีความกังวลหากทรัมป์ชนะ เสี่ยงสงครามโลก ส่งผลต่อตลาดเงินทุน ด้าน ผอ.ศูนย์อาเซียนศึกษา มธ. แนะไทยต้องปรับยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศ ชี้ ฮิลลารีควรชนะ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับไทยสูงสุด…

เมื่อวันที่ 7 พ.ย.59  ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเสวนาโค้งสุดท้ายสู่ทำเนียบขาว : ผลกระทบต่ออาเซียนและไทย โดยนายวิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 45 เพื่อมาดำรงตำแหน่งต่อจากนายบารัค โอบามา ว่า ประเทศสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย และมีการเข้ามาลงทุนในไทยมากเป็นอันดับ 3 ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เคยเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. มาก่อน จึงมีนโยบายค่อนข้างแปลก อย่างเช่น นโยบายทางเศรษฐกิจที่จะกลับไปสู่ในอดีตเหมือนช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐฯ โดดเดี่ยวไม่พึ่งพาใคร ดึงการลงทุนจากต่างประเทศกลับมาเพื่อสร้างงานให้คนในประเทศ แต่กลับได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอเมริกันส่วนหนึ่ง เพราะสะท้อนความรู้สึกของคนชั้นกลางอย่างแท้จริง ส่วนนางฮิลลารี คลินตัน จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเรื่องเขตการค้าเสรี (FTA) ไปจากเดิม

“นายทรัมป์ เป็นคนที่มีบุคลิกแปลก และเป็นอันตรายต่อโลก หากชนะการเลือกตั้ง น่าจะทำให้สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นได้ แต่ขณะนี้ ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนอเมริกันแต่ละกลุ่มที่จะได้รับผลประโยชน์ต่างกัน กลุ่มผิวขาวอาจชอบนโยบายของนายทรัมป์ที่ให้ความสำคัญเรื่องชาตินิยม ส่วนกลุ่มผิวสีอาจชอบนโยบายของฮิลลารีที่ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน” นายวิบูลพงศ์ กล่าว

ขณะที่ นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัยธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ผลโพลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ คนเลือกนายโดนัลด์ ทรัมป์เพราะไม่ชอบนางฮิลลารี คลินตัน คนเลือกฮิลลารี คลินตันเพราะไม่ชอบโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ยังไม่มีใครกล้าฟันธง กรณีนี้อาจเหมือน Brexit ที่จะรู้ผลเมื่อมีการลงคะแนนเสียง ซึ่งไม่ได้เป็นไปที่คาดการณ์

กรณีอีเมลของนางฮิลลารี เป็นเรื่องที่คนอเมริกันยังไม่ได้คำตอบว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นคือคนหันไปสนับสนุนนายทรัมป์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ได้มาจากความนิยมในตัวนโยบายของนายทรัมป์ที่จะลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 15% เพื่อเป็นการชักจูงให้เกิดการลงทุน ค่าแรงถูกลง ขณะที่นางฮิลลารี มีนโยบายให้คนรวยเสียภาษีเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายทั้ง 2 พรรคเหมือนกัน คือ การเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะ ที่จะส่งผลต่อปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในอนาคตอย่างแน่นอน เหมือนในสมัยของนายบารัค โอบามา ที่ไม่สามารถขอเพิ่มหนี้สาธารณะชนเพดานได้ และมีโอกาสเกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำรอยได้อีก

“นโยบายการคลังที่ทั้งคู่คล้ายกัน คือ การเพิ่มหนี้สาธารณะที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนจะหันไปถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ เงินเยน และทองคำ ค่าเงินอาเซียนอ่อนค่า”

ส่วนผลกระทบด้านการส่งออกนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อไทยโดยตรง เพราะไทยเป็นแค่ห่วงโซ่อุปทาน ไม่ใช่คู่แข่งขันกับสหรัฐฯ แต่จะส่งผลกระทบทางอ้อมในการส่งออกไปจีนและอาเซียนที่จะชะลอตัว ในกรณีที่สหรัฐฯ เลือกนโยบายกีดกันทางการค้าก็จะเป็นการฆ่าตัวตาย เพราะยังต้องพึ่งพาจีนอยู่มาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศของสหรัฐฯ เอง ส่วนประเทศที่ได้รับผลกระทบโดยตรงน่าจะเป็นสิงคโปร์ และมาเลเซียมากกว่า

ในกรณีที่นางฮิลลารีชนะเลือกตั้ง ไทยก็จะไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากตัวนโยบายเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หากนายทรัมป์ ชนะเลือกตั้งก็อาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรุนแรง จนส่งผลต่อตลาดเงินทุน พร้อมระบุว่า สิ่งที่จะต้องติดตามคือความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และเสียงข้างมากในสภาคองเกรสที่จะสนับสนุนการดำเนินนโยบาย ซึ่งจะช่วยให้เห็นความชัดเจนมากขึ้น

“ผลเลือกตั้งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้นไม่เกิน 2 สัปดาห์ ส่วนกรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในขณะนี้ถือเป็นความตกใจเกินเหตุ ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีขึ้นอีกครั้งในเดือน ธ.ค.นี้ หลังตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ออกมาดี แต่อย่าเชื่อผลโพลและการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ ต้องจับตาดูผลการลงคะแนนเลือกตั้ง เพราะอาจพลิกผันเหมือนกรณีที่อังกฤษลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ส่วนตัวเชื่อว่าคะแนนนิยมในตัวนางฮิลลารีที่ดี ไม่ได้เกิดจากความชอบหรือไม่ชอบ แต่นักลงทุนต้องการความชัดเจนและต่อเนื่อง” นายอมรเทพ กล่าว

ด้าน นายประภัสสร์ เทพชาตรี ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนายกสมาคมอเมริกันศึกษาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายของนางฮิลลารี เป็นเสรีนิยมที่สานต่อนโยบายจากนายบารัค โอบามา แต่มีความแข็งกร้าวมากกว่า ขณะที่นายทรัมป์ จะเป็นนโยบายอนุรักษ์นิยม ขวาจัดสุดโต่ง เพื่อทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีต ส่วนนโยบายเรื่องข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ถือเป็นเรือธงที่พรรคเดโมแครตจะสานต่อไปและกดดันประเทศอื่นให้เข้าร่วม ซึ่งไทยเองก็มีท่าทีที่จะเข้าร่วมเช่นกัน

ขณะที่ นายทรัมป์ มองว่านโยบายของนายโอบามาถือเป็นยุคเสื่อมของสหรัฐฯ ที่ตกต่ำ ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย โดยมีสาเหตุจากการเสียเปรียบทางเศรษฐกิจจากจีน การลงทุนทางทหารมากเกินไป ไม่สนับสนุนเรื่องการจัดตั้งเขตการค้าเสรีทุกรูปแบบ แต่ไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้งต่างมีจุดหมายเดียวกัน คือการกีดกันทางการค้า

“หลังการเลือกตั้ง ไทยอาจต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ถ้าจะให้เกิดประโยชน์กับไทยสูงสุด นางฮิลลารี ควรจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ” นายประภัสสร์ กล่าว.

 

Leave a comment