อนุสรณ์ หวั่นนโยบาย ‘ทรัมป์’ ความเสี่ยงส่งออกไทย แนะเพิ่มลงทุนเอเชีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 พ.ย. 2559 17:36

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/779411

 

“อนุสรณ์” เผย “ทรัมป์” คว้าชัยเลือกตั้ง กระทบตลาดการเงินโลกผันผวนไปอีกระยะ ตลาดหุ้นทั่วโลกพลิกกลับมาฟื้น หลังปรับลงแรงก่อนหน้า ส่วนภาคส่งออกไทย จะมีความเสี่ยง หากสหรัฐฯ มีนโยบายการค้าในทิศทางที่กีดกันมากขึ้น แนะเพิ่มปริมาณการค้า การลงทุนในกลุ่มอาเซียน…

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงผลกระทบของการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะส่งผลให้ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งปรับขึ้นและลง เป็นผลมาจากการที่ตลาดการเงินไม่ได้คาดการณ์ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้ง ขณะที่จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศของรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังการปรับลงแรงก่อนหน้านี้ การประท้วงผลการเลือกตั้งตามเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ จะยุติลงด้วยความเรียบร้อย เนื่องจากสหรัฐฯ มีวัฒนธรรมประชาธิปไตยและผู้แพ้ Electoral Vote แต่ชนะ Popular Vote อย่างฮิลลารี คลินตัน ได้ประกาศการยอมรับผลการเลือกตั้ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างสันติ (Peaceful Power Transition)

ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เราจะได้เห็นการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจทางด้านอุปทาน (Supply-Side Economic Policy) มากขึ้น ลดภาษีในอัตราก้าวกระโดด (ลดภาษีนิติบุคคลหรือองค์กรธุรกิจจาก 35% ลงมาเหลือ 15%) ซึ่งจะต้องมีการตัดลดสวัสดิการจำนวนมากยกเว้นเศรษฐกิจเติบโตมากๆ จึงจะทำให้ไม่เกิดปัญหาหนี้สาธารณะ การปรับลดภาษีชุดใหญ่และอย่างแรง ทั้งภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล พร้อมกับการประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็น่าจะทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สูงขึ้น จะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบในการทำธุรกิจมากขึ้นในสหรัฐฯ

ขณะที่ กีดกันสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้น มีนโยบายโน้มเอียงสนับสนุนชาตินิยมทางเศรษฐกิจมากขึ้น การตอบสนองในตลาดปริวรรตเงินตราในระยะสั้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น เงินเปโซเม็กซิโกทรุดลง (ไม่ต่ำกว่า 10-20%) เงินหยวนอ่อนค่าลง ค่าเงินบาทและเงินสกุลเอเชียส่วนใหญ่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ราคาน้ำมันปรับตัวลงเล็กน้อย ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะทองคำ ทางด้านหุ้นและผลประกอบการกลุ่มพลังงานหลัก (น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ) ได้ผลบวกจากนโยบายของทรัมป์

นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจเวชภัณฑ์และบริการสุขภาพ กลุ่มอุตสาหกรรมอาวุธและป้องกันประเทศ ที่ปรับตัวลงก่อนหน้านี้ ได้กลับฟื้นขึ้นมาหลังผลเลือกตั้งออกมาว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง นโยบายและมาตรการกีดกันสินค้าจากจีนโดยการตั้งกำแพงภาษี 45% ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวระหว่างการหาเสียง ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง เพราะขัดต่อระเบียบองค์กรการค้าโลก และไม่น่าจะผ่านรัฐสภา

“ผมขอเรียกชุดนโยบายสาธารณะของประธานาธิบดีทรัมป์และทีมงาน ว่า Trumpian Policies อันประกอบไปด้วย นโยบายการค้า ทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีใหม่ กีดกันสินค้านำเข้าบางส่วน เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและการจ้างงานภายใน ไม่สนับสนุน TPP สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจและระบบการค้าโลก ปริมาณการค้า การลงทุนระหว่างประเทศอย่างไร โดยเฉพาะ FDI เป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป”

ขณะที่ นโยบายการคลัง ลดภาษีชุดใหญ่และตัดลดสวัสดิการบางส่วน นโยบายต่อต้านผู้อพยพผิดกฎหมาย และเข้มงวดกับการอพยพเข้ามาทำงานในสหรัฐฯ นโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ทรัมป์ไม่เชื่อในเรื่องผลกระทบของภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงชั้นบรรยากาศ จึงไม่เป็นผลบวกต่อธุรกิจอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน พลังงานทางเลือก พลังงานสะอาดหรือกิจการ หรือการผลิตที่ให้ความสำคัญกับเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน แต่เป็นผลดีกับอุตสาหกรรมถ่านหินและพลังงานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนนโยบายต่างประเทศ จะมียกเลิกการคว่ำบาตรอิหร่าน มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นกับรัสเซีย เป็นต้น

ส่วนผลกระทบต่อไทย ผลที่มีต่อตลาดการเงินไม่มีนัยสำคัญมาก ตลาดหุ้นอาจผันผวนบ้างในระยะสั้น เงินบาทอาจมีการอ่อนตัวบ้าง เงินทุนระยะสั้นอาจเคลื่อนย้ายออกบ้าง ผลกระทบสำคัญน่าจะเป็นด้านการค้ามากกว่าทั้งทางบวกและทางลบ

ขณะที่ ภาคส่งออกไทย จะมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (ถ้าไม่นับอาเซียน 10 ประเทศรวมกัน) ดังนั้น หากสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าในทิศทางที่มีการกีดกันมากขึ้น จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการส่งออกของไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงควรเพิ่มปริมาณการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียมากขึ้นอีก

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ได้ประกาศตั้งแต่เริ่มหาเสียงแล้วว่า ไม่เอาข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) นั้นเป็นผลดีกับไทย การเริ่มต้นใหม่เรื่อง TPP นั้นเป็นเรื่องโชคดีของไทย ส่วนเวียดนามและมาเลเซียได้ประโยชน์จากการเข้าร่วม TPP ไปก่อนหน้านี้ แม้ยังไม่เต็มรูปแบบ แต่อุตสาหกรรมสิ่งทอที่ย้ายฐานการผลิตจากไทยไปเวียดนาม แม้ TPP ไม่ได้เป็นนโยบายของผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ แต่เงินทุนที่ไหลเข้าเวียดนาม ก็ไหลเข้าไปแล้ว มีตัวเลข 8 เดือนแรก เงินทุนไหลเข้าไปกว่า 14.4 พันล้านสหรัฐฯ จะเห็นว่าทีพีพีจะไม่เกิด แต่เวียดนามก็ได้ประโยชน์จาก FDI ที่ไหลเข้าไปแล้ว

ส่วนประเทศไทยนั้น ควรมียุทธศาสตร์และนโยบายทางการค้าที่ชัดเจนกว่านี้ เนื่องจากขณะนี้ ไม่มีความคืบหน้ามากนักใน FTA กับอียู FTA กับสหรัฐฯ หาก “สหรัฐฯ” เห็น “ไทย” เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคได้ ก็น่าจะเร่งลงทุนในไทยมากขึ้น

“ตอนนี้ พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา และประธานาธิบดีมาจากพรรคเดียวกัน โอกาสในการเกิดสภาวะชะงักงันทางการเมือง (Political Gridlock) เช่นปี พ.ศ. 2556 ไม่มีความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองเข้มแข็งทำให้นโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลได้รับการผลักดันได้ง่ายขึ้น หากคณะของประธานาธิบดีคนใหม่สหรัฐฯ ดำเนินนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจที่ดีจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและโลก”

อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามว่า จะมีใครเป็นทีมเศรษฐกิจและทีมที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจบ้าง และท่าทีของประธานาธิบดีคนใหม่ต่อบทบาท และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก จะถูกจำกัดลง หากประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีนโยบายแปลกๆ และขาดความน่าเชื่อถือในเรื่องความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ มี “ทีมเศรษฐกิจ” ที่แนะนำให้ดำเนินนโยบายที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่เช่นนั้น จะเป็นเหมือนที่ พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ได้เขียนไว้ในบทความล่าสุด ว่า “ภายใต้สภาพใดๆ ก็ตาม การเอาคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ คนที่ฟังคำแนะนำจากคนที่คิดผิดๆ ทั้งหลายแหล่มาเป็นผู้นำประเทศที่มีเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในโลกนั้นถือเป็นข่าวร้ายมากๆ”.

 

Leave a comment