ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05119010859&srcday=2016-08-01&search=no
| วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 628 |
บัญชีชาวบ้าน
วิโรจน์ เฉลิมรัตนา virojch@yahoo.com
รู้จักกับธุรกิจประกันภัย(2)
ผลิตภัณฑ์หลักของธุรกิจประกันภัย คือ การประกันวินาศภัย ซึ่งประกอบด้วย การประกันอัคคีภัย และการประกันภัยรถยนต์ บริษัทประกันภัยบางแห่งรับประกันอัคคีภัยและประกันรถยนต์ บางแห่งรับประกันอัคคีภัยแต่ไม่รับประกันภัยรถยนต์หรือรับในปริมาณน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญ ความถนัด เครือข่ายอู่ซ่อมรถและเซอร์เวเยอร์ บุคลากรที่มีอยู่ และความสามารถในการรับความเสี่ยงภัยด้านรถยนต์ เนื่องจากการประกันภัยรถยนต์ กิจการต้องมีความชำนาญในการดำเนินการกับคู่ค้าที่เป็นอู่ซ่อมรถยนต์และการตีราคาค่าซ่อม ที่ในปัจจุบันมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนค่อนข้างสูงและหากควบคุมไม่ดีมักส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทประกันภัย
ส่วนการรับประกันชีวิตนั้นก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดของตลาดค่อนข้างใหญ่ในอุตสาหกรรมประกันภัย และบริษัทประกันภัยจะต้องแยกการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตออกจากการประกันวินาศภัย ตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม
การประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งถือเป็นหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย
บริษัทประกันภัยจึงมักจะมีบริษัทหนึ่งรับประกันวินาศภัย รับประกันการขนส่งทางทะเล ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยเบ็ดเตล็ด และมีอีกหนึ่งบริษัทรับประกันชีวิต แยกต่างหากจากกัน (บางบริษัทมีเฉพาะธุรกิจประกันวินาศภัยแต่ไม่มีประกันชีวิต)
การประกันภัยเบ็ดเตล็ดนั้นหากดูจากชื่อเราจะเข้าใจว่าเป็นการประกันภัยเล็กๆน้อยๆ (ตามชื่อว่าเบ็ดเตล็ด) แต่ปรากฏว่าในปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ที่จัดประเภทเป็นประกันภัยเบ็ดเตล็ด แต่มีวงเงินการรับประกันภัยและขอบเขตความรับผิดชอบของบริษัทประกันภัยที่สูงมาก เช่น การประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด (Industrial All Risk เรียกันย่อๆว่า IAR)
กรมธรรม์ประเภทนี้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทุนประกันภัยสูง และความเสี่ยงภัยที่สามารถป้องกันมิให้เกิดความเสียหายขนาดใหญ่ได้ โดยปกติมีข้อยกเว้น และมีความรับผิดส่วนแรก
กรมธรรม์ความเสี่ยงภัยทุกชนิดประกอบด้วยความคุ้มครอง2 ส่วนใหญ่ๆคือ ส่วนที่ 1 การประกันภัยทรัพย์สิน (Property Damage) ส่วนที่ 2 ความรับผิดต่อบุคคลภายนอกที่มิใช่ผู้เอาประกันภัย ส่วนนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ การประกันความรับผิดต่อสาธารณชน (Public Liabilities Insurance)
ความคุ้มครองของกรมธรรม์ความเสี่ยงทุกชนิดมักจะระบุว่าคุ้มครองทุกอย่างโดยไม่คุ้มครองรายการตามข้อยกเว้น โดยทั่วไปประกอบด้วย การประกันอัคคีภัย ภัยพิเศษเพิ่มเติม (เช่น ภัยระเบิด ภัยแผ่นดินไหว ภัยลูกเห็บ ภัยอากาศยาน ภัยลมพายุ ภัยน้ำท่วม ภัยเปียกน้ำภัยจากควันภัยจากยวดยานพาหนะภัยจลาจลและนัดหยุดงาน ภัยจากการป่าเถื่อนและการกระทำด้วยเจตนาร้าย) การโจรกรรมที่ปรากฏร่องรอยงัดแงะ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ภัยเนื่องจากความสูญเสียหรือเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า ภัยจากความเสียหายเนื่องจากแตกร้าวของกระจกติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของอาคาร อุบัติเหตุอื่นๆที่เป็นปัจจัยภายนอก (ที่มิได้ระบุในข้อยกเว้น)
ผู้เอาประกันภัยแบบ IAR จึงมักเป็นห้างสรรพสินค้า นิติบุคคลอาคารชุดโรงงานโรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร ท่าอากาศยาน และโครงการต่างๆที่มีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก โดยมากการประกันภัยความเสี่ยงภัยทุกชนิดมักกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบความรับผิดส่วนแรก (Deductible)เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ง่าย
ธุรกิจประกันภัยกับการบริหารความเสี่ยง
หากเรามองลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทประกันภัยแล้ว จะพบว่า การบริหารความเสี่ยง เป็นเรื่องสำคัญลำดับแรกของอุตสาหกรรมประกันภัย ที่หากบริษัทใดสามารถบริหารจัดการ “ความเสี่ยง” ให้เหลือน้อยที่สุดได้ บริษัทประกันภัยนั้นจะมีกำไรจากการดำเนินการสูงกว่าบริษัทที่บริหารความเสี่ยงได้ไม่ดี
การบริหารความเสี่ยงในกิจการประกันภัยนั้น ความเสี่ยงด้านการรับประกันภัย จะเป็นความเสี่ยงหลัก ที่บริษัทประกันภัยมีภาระผูกพันต่อผู้เอาประกันภัย โดยหากบริษัทต้องแบกรับภาระสูงกว่าความสามารถในการชำระค่าสินไหมทดแทนแล้ว หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง ก็จะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยได้
การรับงานประกันภัยที่กระจุกตัวในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไปจะทำให้เกิดความเสี่ยง การกระจายกลุ่มและประเภทการรับประกันภัยที่เหมาะสมเป็นการลดความเสี่ยงได้ การทำประกันภัยต่อเพื่อกระจายความเสี่ยงในการที่บริษัทต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้น การดำรงเงินกองทุนในอัตราสูงเป็นตัวช่วยให้บริษัทมีเงินทุนสำรองหากเกิดความเสี่ยงภัยที่มีความเสียหายสูงๆเกิดขึ้น
การบริหารการลงทุนของกิจการประกันภัย
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ธุรกิจประกันภัยเป็นธุรกิจที่มีเงินสดในมือสูงด้วยข้อกำหนดการดำรงเงินกองทุน และการสำรองเงินสดไว้ให้เพียงพอกับค่าสินไหมทดแทนที่อาจจะเกิดขึ้น ประกอบกับธุรกิจประกันภัย เป็นการส่งมอบสัญญาและความคุ้มครองแก่ลูกค้า โดยทั่วไปจึงมีเงินสดหมุนเวียนในมือค่อนข้างมาก บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่จึงต้องบริหารการลงทุน โดยมีการจัดพอร์ตการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน ไม่ว่าจะลงทุนในตั๋วเงินคลัง ตราสารทางการเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ใบรับฝากเงิน เงินฝากธนาคาร พันธบัตรระยะยาว หุ้นกู้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ และกองทุนรวมต่างๆ เป็นต้น
หากเราดูงบการเงินของบริษัทประกันภัย จะพบว่า รายได้หลัก คือ “รายได้จากการรับประกันภัย” แต่จะมีอีกท่อนหนึ่งที่แสดงรายการ “รายได้จากการลงทุน” และ “กำไรจากการลงทุน” อยู่ในงบกำไรขาดทุนด้วยเสมอ ในงบแสดงฐานะการเงินเราจะเห็นบัญชี “เงินลงทุนในหลักทรัพย์” เป็นสินทรัพย์ตัวใหญ่ นอกเหนือจาก “เบี้ยประกันภัยค้างรับ” (เหมือนลูกหนี้การค้าในกิจการขายสินค้า) อยู่ด้วยเสมอ
การบริหารพอร์ตการลงทุนของกิจการประกันภัยนั้น ถือเป็นส่วนงานหนึ่งที่มีความสำคัญกับบริษัทประกันภัยเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการมีเงินสดหมุนเวียนในมือ สามารถนำผลกำไรมาสู่บริษัทในลักษณะเพื่อเสริมเงินสำรองที่จะใช้จ่ายค่าสินไหมทดแทนตามภาระผูกพันที่บริษัทประกันภัยมีอยู่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนของบริษัทประกันภัยต้องลงทุนภายใต้ข้อจำกัดที่มีกฎเกณฑ์ของคปภ.กำหนดไว้ เพื่อให้ความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่ในระดับที่ยอมรับได้โดยทั่วไป
ตัวอย่างข้อจำกัดการลงทุนกิจการประกันภัยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีสภาพคล่องต่ำ เช่น ไม่สามารถลงทุนในการสร้างอาคารสำนักงานเพื่อให้เช่า นอกจากสร้างอาคารเพื่อใช้เป็นสำนักงานของบริษัทเท่านั้น เป็นต้น
กิจการประกันภัย เป็นกิจการที่น่าสนใจและมีลักษณะเฉพาะ บุคลากรที่ทำงานให้กับบริษัทประกันภัยก็ต้องมีความรู้พิเศษกว่าธุรกิจซื้อมาขายไปหรือธุรกิจผลิตสินค้า คือต้องมีความรู้ด้านการประกันภัย การบริหารความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการกระจายความเสี่ยง ต้องมีความรู้ด้านบริหารการลงทุน ต้องมีพื้นความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงินและตลาดทุน
ในปัจจุบันนี้ฝ่ายบริหารของบริษัทประกันภัยยังต้องมีฐานข้อมูลที่พร้อมและรองรับการวิเคราะห์เหล่านี้ ต้องลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเก็บข้อมูล และยังต้องบริหารต้นทุนของกิจการประกันภัยให้ต่ำที่สุด เพื่อให้มีผลกำไรคงเหลือเพียงพอกับความเสี่ยงที่ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนในกรณีเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย