ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05050010859&srcday=2016-08-01&search=no
| วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 628 |
เทคโนโลยีการเกษตร
สุพจน์ สอนสมนึก
ลุงทองปาน พิมพานิช วัย 65 ปี สกลนคร ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็มีเงินแสนได้
วันนี้ได้รับคำแนะนำจากคุณร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดสกลนครว่า มีเกษตรกรที่บ้านคำประมง ตำบลบัวสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร มีชีวิตแนวคิดที่อยากให้ครอบครัวโดยเฉพาะลูกๆ ยึดอาชีพการเกษตร ทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ที่บรรพบุรุษยึดทำกินเลี้ยงปากท้องคนบนโลกนี้มานานแสนนาน น่าสนใจนำมาบอกเล่าเปิดเผยให้ทราบทั่วไป
จึงขับรถยนต์ออกจากจังหวัดสกลนคร เดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านคำประมง ตามถนนสายสกลนคร-อุดรธานี เมื่อพ้นเขตเทศบาลนครสกลนคร ราว 5 กิโลเมตร ก็จะพบเพิงไม้ร้านขายมันสำเภา(มันแกว)มาวางขายเรียงรายตั้งแต่ แยกหน้าราชภัฏสกลนคร เรื่อยมาถึงบ้านพังขว้างใต้หลายกิโลเมตรมองเห็นแล้วชุ่มชื่นหัวใจ ที่มีผลผลิตออกมาวางขาย หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ถิ่นนี้ “แอ่งสกลนคร”
พอเข้าเขตบ้านพาน ผ่านเทศบาลดงมะไฟ มองเห็นน้ำเจิ่งนองตามสองฟากข้างถนน ชาวนากำลังบังคับควายเหล็กเสียงคำรามดังสนั่นลั่นทุ่ง บางที่มีชาวบ้านดำนาและหว่านข้าว บางแห่งเริ่มเขียวขจีมองแล้วเพลินตาสบายใจ
เลยเทศบาลตำบลดงมะไฟ ราว 2 กิโลเมตรก็เข้าเขตพื้นที่อำเภอพรรณานิคม ถึงสามแยกไฟแดง ชาวบ้านเรียกว่า “สามแยกสูงเนิน” เลี้ยวขวาไปตามถนนสูงเนิน-เซกา ผ่านบ้านพอกใหญ่ ที่มีลำน้ำอูนพาดผ่าน น้ำอูนเริ่มสูงขึ้น สังเกตได้จากสีของน้ำที่ขุ่นมัวบางแห่งเริ่มใส มองเห็นกระชังปลาเลี้ยงของชาวบ้านในลำน้ำอูนที่คดเคี้ยวยาวสุดตา แม้ยามนี้ข่าวว่า “เขื่อนน้ำอูน” ยังไม่สามารถปล่อยน้ำลงมาให้เกษตรกรทำการเกษตรได้ก็ตาม
วิ่งมาอีกประมาณ 7 กิโลเมตรก็เข้าเขตตำบลบัวสว่าง อำเภอพรรณานิคม ก่อนเข้าหมู่บ้านจะพบป้ายบอกเลี้ยวขวา ไปวัดคำประมง หรืออโรคยาศาลา บ้านคำประมง เลี้ยวขวาไปตามถนนลาดยางของกรมทางหลวงชนบท อีกราว 5 กิโลเมตรก็ถึงบ้านคำประมง หมู่ที่ 4 ตำบลบัวสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านจะพบกับความชุ่มชื่นเขียวชอุ่มของแมกไม้นานาพรรณที่ชาวบ้านปลูกตามรั้วรอบขอบบ้าน ล้วนแต่เป็นไม้ผลที่กินได้ เช่นมะม่วง มะขาม เป็นต้น
ที่นี่ได้พบกับคุณลุงทองปาน พิมพานิช วัย 65 ปี และภรรยาคุณป้าเคี่ยม พิมพานิช อายุ 63 ปี ที่มีความทะมัดทะแมงแข็งแรงทำงานได้สบายๆ หลังจากทักทายแนะนำตัวแล้ว
คุณลุงทองปานเล่าว่า ยึดอาชีพทำนา ทำสวนมาจากบรรพบุรุษ เดิมอยู่บ้านบัวสว่างต่อมาเมื่อมีการมาตั้งหมู่บ้านที่นี่จึงออกมา เพราะว่ามีที่ดินอยู่ที่นี่ คุณลุงทองปาน มีลูก6 คน ชาย 2 หญิง 4 คน แต่งงานมีครอบครัว ก็ยึดอาชีพทำนาทำสวน เลี้ยงสัตว์ ส่วนแม่บ้านยามว่างก็หันมาทอผ้าใช้เอง ไม่ได้ซื้อหาเหมือนปัจจุบัน ผ้าส่วนใหญ่ที่ทอ ผ้าคราม ผ้าขาวม้า ผ้าห่ม ใช้เองในครอบครัว
ฐานะครอบครัวค่อนข้างลำบาก แม้จะมีที่ดินทำนา ทำสวน ทำไร่ก็ตาม เพราะการทำการเกษตรนั้นส่วนใหญ่จะรอน้ำจากฝนที่ตกลงมา ไม่ได้พัฒนาเหมือนปัจจุบัน ลูกหลายคนถามว่า จะให้เรียนหนังสือแล้วไปรับราชการทำงานหรือไม่จึงบอกไปว่า การเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เราฉลาด แต่เป็นส่วนประกอบของความสบายระดับหนึ่งเท่านั้น คิดว่าลูกๆทุกคนประกอบอาชีพการเกษตรดีกว่าเพราะคนทุกคนบนโลกนี้จะต้องกินข้าว กินน้ำ แม้จะมีเงินก็ต้องกินขาดไม่ได้จึงช่วยกันทำนา ทำสวน เรื่อยมา
การเปลี่ยนแปลง
เกิดขึ้น เมื่อ ปี 2540
คุณลุงทองปาน บอกว่า มีผู้นำบางคนบอกว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี และต้องมีความขยันอดทน ประหยัดจะทำให้เราประสบผลสำเร็จได้เมื่อวันหนึ่งเข้าไปในตัวเมือง ในตลาดพบว่าราคาพริกสูงมากจึงเกิดแนวคิดว่า เมื่อเรามีที่ดินมากจำนวนกว่า 32 ไร่ หากปลูกพริกสักไร่คงทำเงินได้ ลูกๆก็ไม่ต้องไปหาทำงานรับจ้างที่อื่น จึงตัดสินใจปลูกพริก ตอนนั้นราคาพริกสูงมาก ขายปีแรกได้เงิน 70,000 บาท จึงปลูกอีก จนถึงปี 2543 ราคาพริกตก เพราะมีคนปลูกกันมาก และในช่วงที่ปลูกพริก ส่วนหนึ่งก็ปลูกมะม่วงอกร่อง มะม่วงแก้วไว้ด้วย
ต่อมาได้มีหลานชาย ที่ทำงานในห้างแห่งหนึ่งได้ซื้อมะม่วงลูกโตๆมาฝาก กินแล้วอร่อย จึงได้สอบถามว่าเขาปลูกที่ไหน ซึ่งหลานชายบอกว่าจะติดต่อให้เพราะเขาต้องการพื้นที่มาปลูกแถวอีสานเช่นกัน ด้วยความคิดที่ว่า ต้องปลูกหลายชนิด ดังที่เคยฟังวิทยุ เกษตรแบบผสมผสาน เศรษฐกิจพอเพียง ปลูกทุกอย่างที่กินได้ และไม่ต้องซื้อ ไม่ปลูกพืชอย่างเดียวเพราะทำให้เสี่ยง
จึงตัดสินใจเดินทางไปขอซื้อพันธุ์มะม่วงดังกล่าวที่อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 300 ต้น ต้นละ30 บาท นำมาปลูก 300 ต้น เรียกว่า มะม่วงพันธุ์ “งามเมืองย่า” ในช่วง 2 ปี มะม่วงให้ผลผลิตออกลูกมาจำนวนมาก ทำให้เกษตรกรหลายรายสนใจอยากปลูก จึงได้ต่อกิ่งพันธุ์ขาย ในปีแรกสามารถขายทั้งผลและกิ่งพันธุ์ได้เงิน 200,000 บาท
จากนั้นได้หันมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ว่าทำอย่างไร ซึ่งก็ทำให้เข้าใจ จึงชักชวนลูกทั้ง 6 คน ที่แต่งงานแล้วมาปลูกพุทรา มะละกอ สับปะรด อ้อยปั่นน้ำสด อินทผลัม มะขามเปรี้ยวฝักโตแก้วมังกร ผักหวานป่า กล้วยหอมทอง กล้วยน้ำหว้า พืชผักสวนครัวทุกชนิด สัตว์เลี้ยง กระบือ หมู เป็ด ไก่ กบ ปลา
พร้อมทั้งการขุดบ่อน้ำ เป็นบ่อเลี้ยงปลา และทำเป็นแหล่งน้ำ จำนวน 2 บ่อ บ่อละ 1 ไร่เศษ เพื่อใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปัจจุบันจะมีรายได้จากการขายผลผลิตในสวนเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 3,000-3,500 บาท หรือปีที่ผ่านมา ได้ 700,000 บาท(เจ็ดแสนบาท)รวมทั้งขายมะม่วงด้วย โดยมะม่วงจะให้ผลผลิตช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ทุกปี จากนั้นจะเป็นการขายต้นพันธุ์ซึ่งมีการต่อกิ่งพันธุ์ขายตลอดปี
คุณลุงทองปานบอกว่าผลจากการลองผิดลองถูก และได้หันมายึดหลักแนวทางพระราชดำริของในหลวง ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง น้อมนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ทำให้วันนี้ตนสามารถบอกได้ไม่อายปากว่า แม้อาชีพทำการเกษตรก็สามารถทำให้มีเงินแสนเงินล้านได้ และที่สำคัญมีความสุข อยู่อย่างพอเพียง ในทางของตนคือทำเศรษฐกิจพอเพียง แบบเงินมาหา เพราะทุกอย่างผู้ที่ต้องการจะมาซื้อเอง ไม่ได้เอาไปจำหน่าย
ดังนั้นในพื้นที่ 32 ไร่ ที่มีอยู่จึงพอเพียงกับครอบครัว ลูกๆทั้ง 6 คน ได้ทำกิน เพราะการทำการเกษตรนี้ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่มาก
“กินได้ที่ปลูก ปลูกทุกอย่างที่ไม่ต้องซื้อ”
“เมื่อเราพออยู่พอกินในครอบครัวก็นำมาจำหน่าย สร้างรายได้”
หากกลุ่มเกษตรกร หรือหน่วยงานใดสนใจอยากศึกษาดูงานหรือรายละเอียด สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัดสกลนคร หรือที่ คุณลุงทองปาน พิมพานิช โทร. (080) 196-9410 ทุกวัน ที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้ของทุกคนที่สนใจ