ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05036150859&srcday=2016-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 629 |
เศรษฐกิจพอเพียง
กิตติภณ เรืองแสน
ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ชากำนัน สุดยอดตำรวจกับเศรษฐกิจพอเพียง ที่อุบลราชธานี
ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ชากำนัน รับราชการตำรวจในตำแหน่ง รองสารวัตรสายงานป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี (รองสว. (ป.) สภ. เขื่องใน) ปัจจุบัน อายุ 58 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 203 หมู่ที่ 5 บ้านสว่าง ตำบลเขื่องใน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกผู้หนึ่งที่ดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน มีความเพียรและความรอบคอบ มีเหตุมีผล รู้จักความพอดี แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็อยู่อย่างพอเพียง ด้วยการทำไร่นาสวนผสม บนที่ดินของตนเอง ทั้งขุดบ่อเลี้ยงปลา ทำไร่มันสำปะหลัง ปลูกพืชผักสวนครัว ทำนาปลูกข้าว ปลูกไม้ผลนานาชนิด เลี้ยงโค เลี้ยงไก่
จนทำให้ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีเงินเก็บเงินออมจำนวนไม่น้อย อีกทั้งครอบครัวก็อบอุ่นและอยู่กันอย่างมีความสุข เพราะดำเนินชีวิตแบบพึ่งตนเองด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ได้เล่าถึงความเป็นมาเกี่ยวกับตัวเองว่า ชื่อเดิมของตนคือ สมศักดิ์ ชากำนัน เป็นชาวอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น โดยกำเนิด เป็นตำรวจรุ่น 29 โรงเรียนตำรวจภูธร 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา บรรจุเป็นตำรวจครั้งแรกในปี พ.ศ. 2521 ที่ สภ.น้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ปี พ.ศ. 2536 ได้ย้ายมาอยู่ที่ สภ.เขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงปัจจุบัน
มีภรรยาชื่อ อรทัย ชากำนัน หรือ ติ๊ก อายุ 49 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของ พ.ต.ท. ชนะ ชูมาตย์ อดีต รอง ผกก.หน.สภ.หัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ปัจจุบันเกษียณอายุราชการแล้ว จบการศึกษาปริญญาตรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยผ่านการทำงานมาหลายที่หลายตำแหน่ง แต่ปัจจุบันได้ลาออกมาดูแลไร่นาสวนผสมควบคู่กับการทำหน้าที่ด้านสังคมในหมู่บ้าน คือเป็นเจ้าหน้าที่ อสม. ประจำหมู่บ้าน ส่วนลูกมี 2 คน คนโตชื่อ น.ส. จุฑาภรณ์ ชากำนัน หรือ น้องฝ้าย ปัจจุบันอายุ 25 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาชนบท จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ส่วนคนเล็กชื่อ นายกริช ชากำนัน หรือ น้องนุ่น ปัจจุบัน อายุ 23 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบัญชีและการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ เล่าว่า จากการที่ตนเองเป็นลูกชาวไร่ ชาวนา อยู่กับการทำไร่ ทำนามาแต่กำเนิด และได้ช่วยพ่อแม่ทำมาหากินมาโดยตลอด จึงพอจะมีความรู้และประสบการณ์ในการทำการเกษตรติดตัวอยู่บ้าง จนกระทั่ง ได้ย้ายมาทำงานที่ สภ.เขื่องใน ซึ่งเป็นบ้านภรรยา ในช่วงปลายปี 2536 ก็ได้รับมรดกเป็นที่ดินทำกินหลายแปลง จากนั้นก็เริ่มทำนามาเรื่อยๆ ต่อมาผมได้เกิดความคิดว่า น่าจะทำการเกษตรแบบผสมผสานหรือไร่นาสวนผสม ตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เคยคิดและตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำให้สำเร็จบนที่ดินที่มีอยู่ เพื่อตอบแทนพระคุณแผ่นดิน ตามแนวพระราชดำริ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อสร้างอาชีพเสริมสร้างรายได้ให้กับครอบครัว พอผมตัดสินใจว่าจะลงมือทำไร่นาสวนผสม ก็วางแผนตามขั้นตอน จากนั้นได้ลงมือทำในปี พ.ศ. 2537 โดยมีภรรยาของผมคอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้ ซึ่งไร่นาสวนผสมของตนเองจะอยู่ที่หมู่บ้านคำสมอ หมู่ที่ 7 ตำบลยางขี้นก อำเภอเขื่องใน ที่ดินอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้จำนวน 19 ไร่ โดยแบ่งที่ดินมาทำฟาร์มหรือไร่นาสวนผสมเพียง 3 ไร่เศษ โดยใน 3 ไร่เศษๆ นี้ จะมีรั้วรอบขอบชิดป้องกันสัตว์เลี้ยงเข้ามาทำลายพืชผักและต้นไม้ ที่เหลืออีก 16 ไร่ ก็แบ่งทำนาปลูกข้าวเจ้า 12 ไร่ ปลูกข้าวเหนียว 4 ไร่ พอลงมือทำ ก็ขึ้นป้ายเป็นฟาร์มไปเลย โดยตั้งชื่อว่า “ฟาร์มเศรษฐกิจพอเพียง ปัญญภัณฑ์ฟาร์ม” และภายในฟาร์มบนเนื้อที่ 3 ไร่ เศษๆ นี้ ได้แบ่งที่ดินออกเป็นส่วนๆ ดังนี้
ส่วนที่ 1 เนื้อที่ 1 งาน ใช้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย โดยทำเป็นบ้านเรือนไม้ต่อเสาปูน ยกสูง ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 7 เมตร แบ่งเป็น 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ระเบียงที่นั่งเล่น
ส่วนล่างใช้เป็นที่นั่งเล่น ห้องน้ำ และเป็นที่จอดรถ มุงหลังคาด้วยสังกะสีมีรางน้ำ สำหรับรองน้ำฝนไว้ดื่ม ไว้ใช้ ไม่ต้องซื้อน้ำดื่มน้ำใช้จากที่อื่น เป็นที่อยู่อาศัยใช้หลบแดดฝน และหลับนอนได้อย่างสบาย บรรยากาศดีมากเพราะอยู่ริมทุ่งนา มีวัว ควายประดับฉาก มองแล้วสบายตา และรอบบริเวณบ้านปลูกไม้ดอกไม้ประดับพอให้มีสีสัน ส่วนด้านหน้าบ้าน เหลือที่ไว้เป็นลานจอดรถ ซึ่งกว้างขวางพอประมาณ
ส่วนที่ 2 เป็นส่วนที่ปลูกไม้ผลและพืชผักสวนครัว สำหรับส่วนนี้ เป็นส่วนสำคัญและเป็นหลักใหญ่ในการสร้างอาชีพ เพราะต้องวางแผนในการปลูกให้เกิดความเหมาะสม กับที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งานนี้ โดยต้องกำหนดพืชที่ต้องนำมาปลูกว่าจะต้องเป็นชนิดใดบ้าง และเมื่อปลูกแล้วจะได้ผล หรือมีความจำเป็นกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหรือไม่ เหมาะกับดินที่ปลูกมากน้อยเพียงใด
ก่อนอื่น ต้องเตรียมดินให้เหมาะกับการปลูกพืช โดยไถพรวนดินให้ราบเรียบ สม่ำเสมอ เก็บเผาวัชพืชและเศษไม้ให้หมด พร้อมที่จะนำต้นกล้าไม้ผลมาปลูกได้ และก่อนปลูกก็ต้องพิจารณาหาไม้ผลที่จะนำมาปลูกว่าจะปลูกพืชชนิดใดบ้าง เมื่อได้แล้วก็ลงมือขุดหลุมปลูกโดยกะระยะห่างของต้นให้เหมาะสม ไม่แคบหรือกว้างเกินไป โดยพิจารณาถึงพุ่มไม้ที่โตว่าจะต้องใช้ระยะห่างเท่าใด
เมื่อเตรียมหลุมปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็นำต้นกล้าไม้ลงปลูกได้เลย การปลูกไม่ควรนำต้นกล้าไม้ลงปลูกในตอนเช้า หรือตอนกลางวัน เพราะเมื่อปลูกแล้วต้นกล้าที่ปลูกใหม่จะต้องทนรับแสงแดดจ้าในตอนกลางวัน ซึ่งต้นกล้าไม้ยังไม่พร้อมที่ต่อสู้กับอุปสรรคใดๆ ก่อนที่จะตั้งตัวได้ จึงแนะนำให้นำลงปลูกในตอนเย็น หรือช่วงบ่ายที่หมดแดดแล้ว เพราะช่วงต่อไปจะเป็นกลางคืน ซึ่งเป็นช่วงเวลาพอที่จะให้ต้นกล้าไม้ที่ปลูกใหม่ตั้งตัวได้ และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพดินได้ ก่อนที่จะพบกับแสงแดดร้อนในวันต่อไป
เมื่อปลูกแล้วเสร็จใหม่ๆ ก็ควรรดน้ำทุกวัน วันละครั้ง หรือทุกเช้า-เย็น จะดีมาก รดไปทุกวันจนกว่าต้นกล้าไม้ที่ปลูกตั้งตัวได้ไม่เหี่ยวเฉาให้เห็น จึงรดแบบวันเว้นวัน และควรหมั่นดูแลใส่ปุ๋ย พรวนดิน ให้พืชเจริญงอกงาม ตามวันเวลาที่เหมาะสม
ส่วนไม้ผลที่ผมได้นำมาปลูกมีหลากหลายชนิด เช่น ทุเรียน จำนวน 5 ต้น ลองกอง จำนวน 5 ต้น มังคุด จำนวน 5 ต้น ลิ้นจี่ จำนวน 2 ต้น ส้มโอ จำนวน 8 ต้น มะไฟ จำนวน 5 ต้น ลำไย จำนวน 10 ต้น มะกอก จำนวน 3 ต้น มะนาว จำนวน 12 ต้น น้อยหน่า จำนวน 6 ต้น มะกรูด จำนวน 22 ต้น ไผ่เลี้ยงหวาน จำนวน 15 ต้น ที่หลักๆ ก็มีเท่านี้ นอกนั้นก็เป็นไม้ผลต้นเตี้ย เช่น ฝรั่ง พุทรา น้อยหน่า ฯลฯ ซึ่งต้นไม้ทุกชนิดสามารถเก็บผลผลิตขาย สร้างรายได้ดีพอสมควร
ส่วนที่ 4 เป็นบ่อเลี้ยงปลา สำหรับส่วนนี้ เนื้อที่ประมาณ 1 งานเศษ ตนเองได้ว่าจ้างรถแบ๊กโฮ มาขุดเป็นบ่อสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ 20 เมตร ยาวประมาณ 40 เมตร ลึกประมาณ 3 เมตร เป็นบ่อขนาดกลาง และมีน้ำตลอดปี หน้าฝนน้ำขึ้นสูงล้นตลิ่ง หน้าแล้งน้ำขอด แต่ก็ไม่ถึงกับน้ำแห้ง ยังพอมีเหลือพอปลาได้อาศัย ปลาที่เลี้ยงก็มี ปลานิล ปลาไน ปลาดุกอุย ปลาปาก ฯลฯ เมื่อเลี้ยงปลาก็ต้องหมั่นให้อาหารทั้งเช้า-เย็น ทั้งอาหารสำเร็จรูป หรือรำอ่อน หรือบางทีมีเศษผักเหลือจากการประกอบอาหารก็นำมาเป็นอาหารปลาได้ เช่น ผักกาด ผักคะน้า กะหล่ำปลี หรือบางทีเราไปตลาดสดเจอผักที่เขาแกะใบแก่ทิ้งก่อนขาย ก็ขอหรือซื้อเขามา เป็นอาหารว่างของปลาได้เป็นอย่างดี
“ปลาส่วนใหญ่ที่ผมเลี้ยงจะเป็นปลานิลและปลาดุกอุยที่อนุบาลในบ่อปูนก่อนให้โตพอเอาตัวรอดได้ ก็โตประมาณ 1 นิ้ว ขึ้นไป จึงนำลงเลี้ยงในบ่อดิน ปลาดุกอุยเป็นปลาที่โตเร็ว กินอาหารเก่ง เลี้ยงประมาณ 1 เดือน ก็จับขายได้แล้ว 7-8 ตัว/กิโลกรัม ซึ่งอยู่ในช่วงที่ตลาดกำลังต้องการพอดี เพราะพ่อค้าแม่ค้า นำไปย่างหรือทอดขายตัวละ 10 บาท ก็ได้กำไร (ซื้อกิโลกรัมละ 40 บาท ได้ 8 ตัว นำไปย่างขายตัวละ 10 บาท ได้เงิน 80 บาท ก็ได้กำไร 40 บาท) แต่ถ้าโตกว่านี้ ก็ขายยากหน่อย เพราะตลาดนำไปตั้งราคาขายไม่ได้ ถ้าขายตัวละ 15-20 บาท ก็ไม่มีคนซื้อ เพราะเยอะไป กินไม่หมด” ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ บอก
นอกจากบ่อปลาที่กล่าวแล้ว ผมยังมีบ่อปลาธรรมชาติขนาดเล็กอีก 3 บ่อ ในแปลงนาใกล้ๆ กันนี้ มีปลาธรรมชาติหลากหลายชนิด เช่น ปลาหมอ ปลาสลิด ปลากระดี่ ปลาดุกนา ปลาช่อน ปลาไหล กุ้ง ปู ท่านที่ชอบลงแหหรือทอดแห อยากจะทอดแหที่ฟาร์มก็สามารถทำได้เลย มีแหให้ทอด จับปลาขึ้นมาต้มยำหรือย่างสดๆ ร้อนๆ รับรองเอร็ดอร่อยภายใต้บรรยากาศแบบลูกทุ่งๆ และเป็นกันเอง ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ชอบแบบนี้ล่ะครับ
ส่วนที่ 5 เป็นส่วนทำนาข้าว ซึ่ง ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ บอกว่า ในส่วนที่ทำนาข้าวนี้ ปลูกข้าวเหนียว 4 ไร่ และปลูกข้าวเจ้า 12 ไร่ และทุกท่านรู้หรือไม่ว่า กว่าที่จะเป็นเมล็ดข้าวสีขาว นำมานึ่ง มาหุงให้เป็นข้าวสุก รับประทานได้นั้น ต้องผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยากอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นชาวนาหรือคนรุ่นเก่าๆ ก็คงจะรู้ดี แต่คนรุ่นใหม่ หรือผู้ที่ไม่มีไร่ ไม่มีนาทำ จะไม่รู้เลย
ขั้นตอนความเป็นไปเป็นมาพอคร่าวๆ ให้นึกเห็นภาพลางๆ ดังนี้
1. การเตรียมดิน โดยขั้นแรกต้องไถกลบเพื่อพรวนดินก่อน ปล่อยทิ้งไว้ให้หญ้าตายก่อนไถกลบอีกครั้ง ซึ่งการไถก็ต้องดูว่า ดินมีความชื้นหรือไม่ ถ้าแห้งเกินไปก็ไถไม่เข้า ส่วนมากก่อนเข้าฤดูฝน ซึ่งเป็นฤดูทำนา และก่อนลงมือทำนาจะต้องไถพรวนอีกครั้ง เพื่อเป็นการเตรียมดินครั้งสุดท้าย ในขั้นตอนนี้จะหว่านปุ๋ยชีวภาพบำรุงดินก่อนไถก็ได้ หรือจะฉีดยาฆ่าหญ้า คุมหญ้าก่อนก็ได้
2. การเตรียมต้นกล้า ขั้นตอนนี้ถ้าเป็นทำนาแบบหว่านไม่ต้องเตรียมแปลงหว่านต้นกล้า แต่ต้องเตรียมดินหมดทั้งแปลง แล้วหว่านเมล็ดข้าวให้พอเหมาะ ไม่หนาแน่นเกินไป เพราะต้นข้าวโตขึ้นจะมีระยะพอดี การทำนาหว่านจะทำได้เลยไม่ต้องรอให้มีน้ำก่อน เหมาะกับนาดอน แล้วรอให้ต้นข้าวสูงประมาณ 2-5 นิ้ว ค่อยปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ใสปุ๋ย ถ้าเป็นการทำนาแบบนาดำ ต้องทำแปลงต้นกล้าก่อน และต้องมีน้ำขังแล้วถึงจะทำได้ ต้องเลือกแปลงนาที่น้ำไม่ขังมากเกินไป และไม่แล้งน้ำเกินไป เมื่อหว่านพันธุ์ข้าวแล้วต้องควบคุมน้ำให้มีพอเหมาะ ไม่ท่วมหรือแห้ง และระวังต้นหญ้าหรือวัชพืชจะขึ้นรบกวนด้วย หมั่นใส่ปุ๋ย ประมาณ 20-30 วัน ต้นกล้าจะสูงยาวพอถอนไปปักดำได้
3. การดำนา แปลงนาที่จะปักดำ ต้องมีน้ำขัง หรือเป็นดินโคลนเหลวเหนียวพอที่จะปักต้นกล้าให้ยืนต้นได้ และต้องให้ต้นกล้ามีระยะห่างกันประมาณ 30 เซนติเมตร ซึ่งต้นกล้าที่นำมาปักดำก็ได้จากการเพาะพันธุ์ต้นกล้าจาก ข้อ 2
4. ในระหว่างที่ปักดำนาหรือนาหว่านเสร็จแล้ว ในระหว่างนี้ต้องหมั่นดูแลและควบคุมน้ำให้เหมาะสม เพื่อเลี้ยงต้นข้าวให้โต และเพื่อคลุมดินไม่ให้หญ้าเกิดแซมต้นข้าว และควรใส่ปุ๋ยตามขั้นตอนเพื่อให้ต้นข้าวได้ผลผลิตที่ดี ประมาณ 3 เดือน ข้าวจะเริ่มตั้งท้องและออกรวง
5. การเก็บเกี่ยว หลังจากที่ต้นข้าวออกรวงและเมล็ดข้าวเริ่มสุกโดยสังเกตใบเลี้ยงข้าวออกสีเหลือง เมล็ดข้าวออกสีเหลือง ก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้ โดยไม่ต้องรอให้เมล็ดข้าวแก่มาก
ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นนี้แล้ว ตนยังได้ปลูกมันสำปะหลังด้วย โดยปลูกบนที่ดินอีกแปลงซึ่งมีเนื้อที่ 9 ไร่ และอยู่ห่างจากจุดที่ตั้งฟาร์มนี้ประมาณ 1 กิโลเมตร โดยแบ่งทำไร่มันสำปะหลัง 5 ไร่ ที่เหลือก็ปล่อยไว้เป็นที่ว่างสำหรับเลี้ยง โค และกระบือ รวมทั้งเป็ดและไก่ ที่ผมเลี้ยงไว้แต่มีจำนวนไม่มากนัก
สำหรับการทำไร่มันสำปะหลังถือว่าประสบผลสำเร็จ เพราะราคาปัจจุบันก็นับว่าอยู่ในขั้นดีพอสมควร อีกทั้งระยะเวลาในการปลูกและเก็บผลผลิตก็ไม่นาน ปลูกเพียงประมาณ 8-10 เดือน ก็ขุดหัวมันขึ้นมาขายได้ ซึ่งการขายมันสำปะหลังของผมจะมี 2 รูปแบบ คือ 1. ขายหัวเป็นๆ ตัดหัวชั่งกิโลขายได้เลย และแบบที่ 2. สับหัวหรือที่เรียกว่ามันเส้นนั่นเอง สับแล้วนำออกตากแดดให้แห้งก่อนนำไปขาย ราคากิโลกรัมละ 5-6 บาท ก็พออยู่ได้
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ทำให้ ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ มีรายได้ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี จากการขายผลผลิตทุกอย่างที่มีอยู่ในฟาร์มและในไร่ ในนา ดังที่ได้กล่าวข้างต้น บวกกับเงินเดือนประจำ จนสามารถส่งลูกทั้ง 2 คน เรียนจบในระดับปริญญาตรีและมีงานทำกันทุกคน ทั้งนี้ มีภรรยาคอยให้กำลังใจและช่วยเหลือการทำไร่นาสวนผสม อีกทั้งเป็นคนมีความมุ่งมั่น ประหยัด อดออม ดำรงชีพอยู่อย่างพอเพียง ทำให้มีเงินเก็บฝากจำนวนไม่น้อย และยังสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก จำนวน 15 ไร่ ที่หมู่บ้านคูเมือง ตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งความเจริญ และเป็นทำเลทอง ราคาที่ดินแถวนี้จะสูงมาก เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ใกล้กับมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งที่ดินผืนนี้ ได้ทำการปลูกข้าวเจ้า 8 ไร่ ปลูกมันสำปะหลัง 5 ไร่ ปลูกไม้เศรษฐกิจยูคาลิปตัส 2 ไร่
น่าปลื้มใจกับผู้หมวดปัญญภัณฑ์ จริงๆ ครับ สำหรับท่านที่ต้องการไปศึกษาดูงาน ไปเยี่ยมชมสวน หรือฟาร์มของ ร.ต.ท. ปัญญภัณฑ์ ชากำนัน ก็ติดต่อนัดหมายล่วงหน้าได้ทางโทรศัพท์ที่เบอร์ (090) 834-8454 และเมื่อไปแล้วยังอาจจะได้ลิ้มลองต้มยำปลาหรือปลาดุกย่างรสแซ่บ! ฝีมือของภรรยาผู้หมวดปัญญภัณฑ์ อีกด้วยเด้อ