ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05068150859&srcday=2016-08-15&search=no
| วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 629 |
รายงานพิเศษ
สุจิต เมืองสุข
สภาเกษตรกรแห่งชาติ กับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตและการจำหน่าย
จากข้อเขียนของนักวิชาการท่านหนึ่ง เมื่อปลายปี 2553 ถึงการมีพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. 2533 ว่า เป็นพระราชบัญญัติฉบับประวัติศาสตร์ที่ให้อำนาจการต่อรองและตัดสินชะตากรรมของเกษตรกรมาจากระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง
และสรุปโครงสร้างของสภาเกษตรกรแห่งชาติไว้ว่า มีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น 100 คน จากผู้แทน 3 ประเภท คือ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติโดยตำแหน่ง ได้แก่ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ผู้แทนองค์กรเกษตรกรด้านพืช สัตว์ ประมง และเกษตรกรรมอื่นๆ ตามที่สมาชิกใน กลุ่มที่ 1 เลือก จำนวน 16 คน โดยต้องครอบคลุมทุกสาขา และผู้ทรงคุณวุฒิด้านพืช สัตว์ ประมง อย่างน้อยด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้น 7 คน ซึ่งสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ กลุ่มที่ 1 และ 2 เลือกเข้ามา ในขณะที่สภาเกษตรกรจังหวัด มีจำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่า 21 คน จากผู้แทน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้แทนเกษตรกรระดับอำเภอ ตามจำนวนอำเภอในจังหวัดนั้น แต่ต้องไม่น้อยกว่า 16 คน และกลุ่มที่ 2 ผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านพืช สัตว์ ประมง อย่างน้อยด้านละ 1 คน รวมทั้งสิ้น 5 คน
กล่าวโดยสรุปข้อเขียนนี้คือ ที่มาของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร และองค์กรเกษตรกร ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การผลิต การแปรรูป การตลาด และการคุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม ระบบเกษตรอินทรีย์ และเกษตรกรรมแปรรูปแบบอื่นๆ ให้คำปรึกษาและข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร การพัฒนาเกษตรกรรม รวมทั้งการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแผนแม่บทต่อคณะรัฐมนตรี เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดแนวทางการส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านพันธุกรรมพืชและสัตว์ท้องถิ่น ผลผลิตทางเกษตรกรรม และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูป แนวทางการประกันความเสี่ยงราคาและผลผลิตทางการเกษตร การกำหนดสวัสดิการให้แก่เกษตรกร เสริมสร้างความร่วมมือและประสานงานกับภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศ ต่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อพัฒนาเกษตรกรรม
แต่บทบาทสำคัญที่สุด ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ คือ การจัดทำแผนแม่บท ซึ่งต้องผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งเชื่อมโยงกับแผนแม่บทระดับจังหวัด สาระสำคัญของแผนแม่บท ประกอบด้วย การพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริม และสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกร องค์กรเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และยุวเกษตร ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมพัฒนา คุ้มครองพื้นที่เกษตรกรรม และการแก้ไขปัญหาดินและที่ดิน ด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเกษตรกรให้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิในที่ดิน เพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมของตนเองอย่างทั่วถึง
ปัจจุบัน มี คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ทำหน้าที่ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ระยะเวลานับตั้งแต่มีสภาเกษตรกรแห่งชาติถึงปัจจุบัน หากไม่ได้อยู่ในแวดวงเกษตรกรรมอย่างแท้จริง อาจจะไม่เห็นบทบาทของสภาเกษตรกรแห่งชาติชัดเจนนัก จึงหยิบยกมาเขียน เพื่อให้เข้าใจถึงแนวทางการทำงาน ผลงาน และสิ่งที่สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ดำเนินไป
หากจะให้พิจารณา คงดูจากการแถลงผลงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ปี 2558 ที่ผ่านมา เพื่อตอบโจทย์การทำงานให้ได้ว่า สภาเกษตรกรแห่งชาตินำเกษตรกรไทยไปทางใด ซึ่งรายละเอียดในการแถลงผลงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ล่าสุด แสดงให้เห็นว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติขับเคลื่อนไปแล้วหลายบริบท
บทบาทของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
กับกระบวนการทางกฎหมาย
ในการพูดคุยกับประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ คุณประพัฒน์ ได้ยกตัวอย่างบทบาทสำคัญของสภาเกษตรกรแห่งชาติที่ผ่านมาว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติ ทำหน้าที่รับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. … ซึ่งมีกระบวนการทำงานคือ การตั้งคณะอนุกรรมการศึกษายกร่างกฎหมายในการบริหารจัดการด้านยางพารา เสนอให้มีผู้แทนเกษตรกร เป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ เพื่อมีสิทธิเสนอขอเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติม อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเกษตรกร
“ครั้งนี้ได้ คุณอำนวย ปะติเส สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นบุคคลผู้ผลักดันแนวคิดตามร่างพระราชบัญญัติที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ และข้อเสนอที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอไปนั้น ได้นำไปบัญญัติในพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 และประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา”
ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า หลังพระราชบัญญัติประกาศใช้ มีการติดตามการบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีของการเสนอให้การยางแห่งประเทศไทย จัดทำข้อมูลเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและพื้นที่ปลูกที่ไม่มีข้อมูลในระบบของราชการ เพื่อให้มีข้อมูลที่แท้จริงในการกำหนดนโยบายด้านยางพารา รวมทั้งเพื่อช่วยเหลืออย่างครอบคลุม ซึ่งการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้นำเข้าคณะกรรมการพิจารณาและกำหนดแนวทางดำเนินการแล้ว และผลดีที่ตามมาจากการเสนอประเด็นของสภาเกษตรกรแห่งชาติคือ ทำให้เจ้าของ ผู้เช่า หรือผู้ทำสวนยางและคนกรีดยาง ได้รับผลจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ครอบคลุมเกษตรกรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประการสำคัญคือ การมีตัวแทนเกษตรกร 5 คน เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีน้ำหนักในการตัดสินใจใดๆ ของการยางแห่งประเทศไทยเพื่อเกษตรกร
สภาเกษตรกรแห่งชาติ จึงมีส่วนในการผลักดัน พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 อย่างแท้จริง
คุณประพัฒน์ อธิบายเพิ่มเติมถึงการทำงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ว่า แม้ว่าระยะเวลาการก่อตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติไม่นาน แต่บทบาทสำคัญที่สภาเกษตรกรแห่งชาติต้องขับเคลื่อนมีมาก ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการทำงานพัฒนาภาคการเกษตรประเทศไทย ยิ่งเมื่อ ปี 2557 มีการจัดตั้งคณะผู้ปฏิบัติงานสภาเกษตรกรระดับอำเภอ และปี 2558 มีการจัดตั้งคณะผู้ปฏิบัติงานสภาเกษตรกรระดับตำบล ทำให้การสื่อสารนโยบายรัฐบาลถึงเกษตรกรและการรับฟังปัญหาและความต้องการจากเกษตรกรเสนอถึงรัฐบาล มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
“ที่ผมเห็นชัดคือ การที่เกษตรกรรวมกลุ่มกันแสดงความคิดเห็นผ่านสภาเกษตรกรระดับตำบล สภาเกษตรกรระดับอำเภอ มองเห็นถึงความเข้มแข็งที่มีอยู่แล้วในตัวของเกษตรกร โดยสภาเกษตรกรแห่งชาติทำหน้าที่เป็นเวทีให้กับเกษตรกรทุกสาขาอาชีพได้แสดงความคิดเห็นและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และประสานความเข้าใจระหว่างเกษตรกรและภาครัฐได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นกลไกในการรวบรวมข้อมูลด้านการเกษตรและสะท้อนปัญหาความต้องการที่แท้จริงของเกษตรกร”
หลังการผลักดันเนื้อหาในพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 ไปแล้ว สภาเกษตรกรแห่งชาติ ยังเห็นว่า ปาล์มน้ำมัน เป็นพืชเศรษฐกิจหนึ่งที่มีความสำคัญระดับประเทศ มีเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จึงเริ่มดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากเกษตรกร ตัวแทนองค์กรเกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการบริหารจัดการปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มของประเทศ ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน โดยนำเสนอในที่ประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งการดำเนินการลักษณะเช่นนี้ เป็นการเสนอกฎหมายจากล่างสู่บน หรือจากเกษตรกรสู่รัฐบาล ซึ่งเกษตรกรจะได้ประโยชน์ตรงกับความต้องการที่แท้จริง ทั้งนี้ จะนำมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ. … นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติและรัฐบาล ในการพิจารณาผลักดันให้เป็นกฎหมายต่อไป
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่เราพยายามผลักดัน ส่งเสริมและพัฒนา เช่น การผลักดันให้มีร่างพระราชบัญญัติการจัดสวัสดิการเกษตรกร พ.ศ. … ขึ้น เพื่อให้มีตัวแทนของเกษตรกรในคณะกรรมการต่างๆ เพื่อมีส่วนร่วมในการคุ้มครองและรักษาประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกร เช่น การจัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตรกร การจัดสวัสดิการเกษตรกรตามระเบียบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด โดยกำหนดจัดสวัสดิการด้านการดูแลสุขอนามัย การดำรงชีพ การประกันรายได้ การจัดบำเหน็จบำนาญ เป็นต้น”
การผลักดันข้อกฎหมายต่างๆ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สภาเกษตรกรแห่งชาติทำหน้าที่ต่อไป แต่อีกด้านของการทำงานที่มองเห็นความพยายามและมุ่งมั่นของเกษตรกร คือ การตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์วิถีเกษตรกร ให้มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิถีเกษตรกร เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ สืบสาน ประเพณีวัฒนธรรมทางการเกษตร โดยคณะกรรมการมีมติให้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบ สาขาเกษตรอินทรีย์ และสาขาเกษตรปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อขยายผลการทำการเกษตร ตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสู่เกษตรกรไทย โดยใช้รูปแบบเกษตรกรสู่เกษตรกรด้วยวิธีการคัดเลือกเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จแล้ว เผยแพร่ผลงานและความสำเร็จสู่สาธารณชน เป็นแนวทางในการขยายผล
เกษตรกรต้นแบบ รางวัลพระราชทาน
ต้นแบบของการพัฒนาเกษตรกรรม
ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรต้นแบบ รางวัลพระราชทาน ว่า มีหลักเกณฑ์การประเมิน คัดเลือก และตัดสิน 4 ด้าน ประกอบด้วย
ด้านที่ 1 คุณภาพเกษตรกร
ด้านที่ 2 ความเป็นวิชาการการเกษตรและกิจกรรมเกษตรกรรม
ด้านที่ 3 การบริหารจัดการ
ด้านที่ 4 ความสำเร็จหรือความดีเด่น
โดยผลการประเมิน ได้แก่ นายสมัย แก้วภูศรี จากจังหวัดลำพูน เกษตรกรต้นแบบรางวัลพระราชทาน สาขาเกษตรอินทรีย์ และ นางจันท์นิภา หวานสนิท จากจังหวัดกระบี่ เกษตรกรต้นแบบรางวัลพระราชทาน สาขาเกษตรปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
การคัดเลือกเกษตรกรต้นแบบรางวัลพระราชทาน ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งในข้อเสนอของเกษตรกร กับการพัฒนาเกษตรกรรม และการพัฒนาเกษตรกรรมที่สภาเกษตรกรแห่งชาติตั้งเป้าไว้นั้นยังมีข้อเสนออีกหลายแนวทางในการแก้ปัญหาเกษตรกรรม ได้แก่
1. ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ กล่าวโดยสรุป คือขอให้รัฐบาลออกมาตรการให้โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบ ซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรตามมาตรฐานทะลายปาล์ม โดยมีเปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มดิบที่สกัดได้ไม่ต่ำกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ โดยราคาน้ำมันดิบให้เป็นไปตามกลไกตลาด แล้วให้นำมาคำนวณเป็นฐานราคาที่รับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันจากเกษตรกร จะได้ราคารับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรไม่เดือดร้อนและได้รับความเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังขอให้รัฐบาลดำเนินการจัดตั้งคลังน้ำมันปาล์มดิบ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่เหลือจากการใช้ภายในประเทศ ขอให้รัฐบาลมีมาตรการที่เข้มงวดในการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบทั้งทางบกและทางทะเล รวมทั้งการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ตามแนวเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้
2. ข้อเสนออาชีพเสริมในสวนยาง หลังจากที่สภาเกษตรกรแห่งชาติได้เสนอแนวคิดจากการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นแนวทางแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำจากเกษตรกร และผู้แทนองค์กรเกษตรกร เมื่อ วันที่ 3 ตุลาคม 2557 ด้านการสร้างอาชีพเสริมในสวนยางพารา ซึ่งทำให้รัฐบาลได้กำหนดมาตรการพัฒนายางพาราทั้งระบบ มีโครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โดยใช้สินเชื่อจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ครัวเรือนละไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 2 ต่อปี เป้าหมายเกษตรกร 100,000 ครัวเรือน ระยะเวลาการชำระเงินกู้ ไม่เกิน 5 ปี
3. ข้อเสนอให้มีโครงการสินเชื่อ 1 ตำบล 1 SME เกษตร เรื่องนี้สภาเกษตรกรแห่งชาติมีนโยบายในการปฏิรูปภาคการเกษตรให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรม และปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว เป็นเกษตรผสมผสาน โดยประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้เสนอแนวคิด 1 ตำบล 1 SME ต่อรองนายกรัฐมนตรี (ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เพื่อการปฏิรูปภาคการเกษตรตามแนวทางของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ต่อมารัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบาย 1 ตำบล 1 SME เกษตร ในการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยให้ ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อ 72,000 ล้านบาท สำหรับเกษตรกร และองค์กรเกษตรกร เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร พัฒนากระบวนการผลิต การรวบรวมการแปรรูป การตลาด การบริการ ปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรทั้งระบบ
การทำงานในระดับจังหวัด สภาเกษตรกรจังหวัด มีบทบาทไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าสภาเกษตรกรแห่งชาติ คุณประพัฒน์ ยกตัวอย่างการทำงานในระดับจังหวัดให้เห็น อาทิ การพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม ของสภาเกษตรกรจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 229,906 ไร่ ผลผลิตรวม 815,885 ตัน ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ ประมาณ 3,200 กิโลกรัม ต่อไร่ จะพัฒนาตามทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พัฒนาตามแนวทางเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตของตนเอง พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เกิดความร่วมมือ ช่วยเหลือแบ่งปันโดยมวลชน สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง สภาเกษตรกรจังหวัดอุดรธานี ได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง โรงงานมันเส้นสะอาด ขนาดเล็ก 200 ตัน ต่อวัน โรงงานเอทานอลชุมชน กำลังการผลิต 5,000 ลิตร ต่อวัน โรงงานพลังงานชีวมวล ผลิตเชื้อเพลิงชีวมวลอัดแท่งไฟฟ้าชีวมวล
หรือการทำงานของสภาเกษตรกรจังหวัดยโสธร ที่มีการพัฒนาในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพราคาผลผลิตการเกษตร โดยการร่วมมือระหว่างสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กับสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืนน้ำอ้อม จังหวัดยโสธร ในการนำเอาระบบ QR CODE หรือ QUICK RESPONSE CODE ระบบสืบย้อนกลับจากมือผู้บริโภคถึงแหล่งผลิต โดยได้ดำเนินการจัดอบรมและลงมือจัดทำระบบ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการแหล่งกระจายสินค้าเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจสอบสินค้าไปยังผู้บริโภค ทำให้ผู้บริโภคข้าว เมื่อสแกนตัวคิวอาร์โค้ดบรรจุภัณฑ์ก็จะเห็นข้อมูลของชุมชนผ่านเว็บไซต์ ทำให้รู้ว่า ข้าวนี้มาจากนาแปลงไหน ผู้ผลิตเป็นใคร เป็นการสร้างตัวตนให้ชาวน้ำอ้อม อีกทั้งยังเป็นช่องทางการตลาดในการส่งเสริมการขาย
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ข้าวที่ติดคิวอาร์โค้ด มีทั้งหมด 6 ชนิด วางจำหน่ายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา เบลเยี่ยม สเปน สหรัฐอเมริกา ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ใน ปี 2559 มีแผนสร้างความร่วมมือจากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ 5 จังหวัด คือ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ยโสธร และอำนาจเจริญ จะจัดตั้งเป็นบริษัทการส่งออกข้าวของชาวนา บริหารจัดการโดยชาวนาไทย ภายใต้ชื่อ บริษัท อีสานไทยออร์แกนิค จำกัด
ถอดบทเรียน เกษตรกรมืออาชีพ
แก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วน ด้วยวิธีธรรมชาติ
คุณเดชา บรรลือเดช เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งขาว หนึ่งในสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ ก้าวเข้ามาเป็นสมาชิก เพราะมั่นใจในแนวทางการพัฒนาเกษตรกรของสภาเกษตรกรแห่งชาติ คุณเดชา บอกว่า การทำงานในหน้าที่สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ ถือเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรได้วิธีหนึ่ง ในฐานะที่เป็นเกษตรกรมองว่า หากมีเกษตรกรที่มีโอกาสเข้าไปเป็นตัวแทน ซึ่งถือเป็นตัวแทนของเกษตรกรอย่างแท้จริง จะทำให้เกษตรกรได้รับการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากขึ้น
“อย่างผมมองว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติ เป็นองค์กรของเกษตรกร เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนให้กับภาคเกษตร ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาของเกษตรกรจะต้องผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไล่ระดับขึ้นไป กว่าจะได้รับการพิจารณาแก้ไข ต้องใช้เวลา ทำให้การแก้ปัญหาล่าช้า เมื่อเรามีสภาเกษตรกรแห่งชาติทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้ ปัญหาตรงไปถึงหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง การแก้ปัญหาก็จะรวดเร็วและตรงประเด็นที่เกษตรกรต้องการ”
คุณเดชา เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายหนึ่ง ที่ประสบปัญหาเดียวกับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งรายอื่น คือโรคกุ้งตายด่วน (EMS) ซึ่งคุณเดชาเองก็ประสบปัญหานี้มาหลายต่อหลายครั้ง และปัญหาโรคกุ้งตายด่วนก็เป็นปัญหาที่สร้างความเสียหายให้กับการส่งออก ทำให้ผลผลิตกุ้งของประเทศลดลงกว่าครึ่ง เกษตรกรจำนวนมากเลิกเลี้ยงกุ้งพร้อมกับขายทรัพย์สินชำระหนี้ที่เกิดขึ้น
แต่สำหรับ คุณเดชา สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ และประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำสามร้อยยอด-ปราณบุรี จำกัด เป็นเกษตรกรที่มีความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ ต่อสู้กับปัญหา จนสามารถแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วนได้ด้วยตนเอง
กลวิธีการเลี้ยงกุ้ง เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วนของคุณเดชา ได้รับการยอมรับจากเกษตรกรด้วยกัน โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งแถบภาคตะวันตกไล่ลงไปถึงภาคใต้หลายจังหวัด เข้ามาศึกษาดูงานจากฟาร์มของคุณเดชา ซึ่งคุณเดชาพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เขาทดลองจนประสบความสำเร็จนี้ให้กับผู้สนใจทุกคน โดยไม่คิดค่าตอบแทน
จำนวนบ่อกุ้งที่คุณเดชาดูแลเอง มีจำนวน 4 บ่อ เมื่อรวมกับจำนวนบ่อของสมาชิกในสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งฯ ด้วยกันมีมากถึง 30 บ่อ ซึ่งทั้งหมดได้รับการถ่ายทอด เพื่อให้ความรู้ที่เริ่มจากบ่อกุ้งของคุณเดชา กระจายออกไปยังเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งด้วยกัน ซึ่งปัจจุบัน สภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้ประกาศให้บ่อเลี้ยงกุ้งระบบปิดอิงธรรมชาติ (Semi-Biomimicry System) ของคุณเดชา เป็นบ่อสาธิตการเลี้ยงกุ้งของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
“การเลี้ยงกุ้งระบบปิดอิงธรรมชาติ ที่ผมคิดขึ้นเป็นแนวทางการป้องกันและแก้ปัญหาโรคกุ้งตายด่วน ซึ่งวิธีนี้เป็นการเลี้ยงกุ้งโดยใช้ระบบชีวภาพ ไม่ใช้สารเคมี ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ประยุกต์ใช้จุลินทรีย์ในการควบคุมระบบตลอดระยะเวลาการเลี้ยง จึงทำให้ดินและน้ำมีคุณภาพดี การเลี้ยงใช้วิธีปล่อยปริมาณลูกกุ้งไม่หนาแน่น มีการดูแลสภาพน้ำที่ดี ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของการเลี้ยงกุ้งคือ การให้อาหารในปริมาณพอเหมาะ ไม่มากเกินไปในระยะแรกที่ปล่อยลูกกุ้งลงบ่อ กุ้งจะกินอาหารจากธรรมชาติ ได้แก่ แพลงตอนและสาหร่ายไส้ไก่ เพื่อการเจริญเติบโตและมีภูมิต้านทานจากธรรมชาติ ส่วนในกระบวนการควบคุมระบบน้ำ นอกจากเติมออกซิเจนด้วยการใช้เครื่องตีน้ำที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แล้ว ยังใช้จุลินทรีย์บำบัดมาทำหน้าที่ย่อยสลายของเสีย”
คุณเดชา กล่าวว่า การใช้จุลินทรีย์เหล่านี้ ไม่เป็นอันตรายต่อกุ้ง โดยจุลินทรีย์ดังกล่าวเป็นกลุ่มเดียวกับที่ใช้บำบัดน้ำเสียทั่วไป เมื่อควบคุมระบบน้ำให้มีคุณภาพที่คงที่ได้แล้ว จะสามารถหมุนเวียนน้ำจากบ่อที่จับกุ้งขายกลับมาใช้ใหม่ โดยนำน้ำไปพักที่บ่อพักน้ำแล้วบำบัด เพื่อนำมาใช้เลี้ยงกุ้งชุดต่อไป เป็นการเลี้ยงแบบไม่มีการถ่ายน้ำ นอกจากนี้ ยังมีการจัดการไม่ให้เกิดโรคตายด่วน (EMS) ทำให้กุ้งมีอัตรารอด ถึงร้อยละ 80-85
เมื่อประสบผลสำเร็จ คุณเดชา ก็ถ่ายทอดความรู้ให้สมาชิกสหกรณ์ และเกษตรกรที่เลี้ยงกุ้ง จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำสามร้อยยอด-ปราณบุรี จำกัด และได้พยายามสร้างรายได้จากกุ้งหวนคืนมาให้ประเทศด้วยการเผยแพร่ความสำเร็จนี้ แต่มาติดขัดตรงที่ทางราชการยังไม่ให้การรับรองว่าเป็นบ่อที่สามารถแก้ปัญหาโรคตายด่วนของกุ้งได้ เนื่องจากต้องมีผลการเลี้ยงหลายรอบการผลิต จนกว่าจะยอมรับได้
จากสถานการณ์นี้ ได้มีการพิจารณาในการประชุมสภาเกษตรกรแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2558 ที่ประชุมเห็นว่าผลการเลี้ยงกุ้งของ คุณเดชา บันลือเดช เป็นที่ประจักษ์ และควรเผยแพร่อย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสกลับมาเลี้ยงกุ้งสร้างรายได้ให้กับประเทศ จึงประกาศให้เป็นบ่อสาธิต เลี้ยงกุ้งระบบปิดอิงธรรมชาติ (Semi-Biomimicry System)” ของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
และต่อไปจะร่วมมือกับภาคเอกชนจัดตั้ง “คลัสเตอร์กุ้ง” เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาในการยกระดับการเลี้ยงกุ้งของประเทศให้มีมาตรฐาน เกิดกระบวนการจัดการห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมทั้งระบบอย่างยั่งยืน ซึ่งเมื่อประสบผลสำเร็จ คุณเดชา และสภาเกษตรกรแห่งชาติ จะนำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อขยายผลสู่เกษตรกรต่อไป
บ่มเพาะฐานเกษตรกรรม ผ่านยุวเกษตรกร
นำร่อง 13 โรงเรียน จังหวัดกาญจนบุรี
อีกภาคของการเจริญเติบโตของประเทศ เยาวชน ยังคงเป็นสิ่งที่ทิ้งไม่ได้ เพราะอนาคตของเยาวชนคือ ปัจจุบันที่ยังมาไม่ถึง หากได้รับการบ่มเพาะปลูกฝังอย่างดีมาก่อน แน่นอนว่าเยาวชนจะเจริญเติบโตมาเป็นเยาวชนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สภาเกษตรกรแห่งชาติ ก็ไม่ได้มองข้ามความสำคัญของ “เยาวชน” ไป เพราะจากการเก็บข้อมูล พบว่า จำนวนเกษตรกรลดลงจาก 20 ล้านคน เมื่อ 20 ปีก่อน เหลือเพียง 17 ล้านคน ในปี 2554 โดยเกษตรกรที่มีอยู่ จะมีอายุเฉลี่ยใกล้ 60 ปี ซึ่งแนวโน้มการลดลงของเกษตรกรรายย่อยจะส่งผลต่อความเป็นประเทศเกษตรกรรมของไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติจึงมุ่งส่งเสริมให้บุตรหลานของเกษตรกรได้เรียนรู้การประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างสอดคล้องกับนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของรัฐบาล โดยนำร่องที่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อให้นักเรียนทั้งจังหวัดได้เรียนรู้ได้ปฏิบัติการเกษตร และเริ่มดำเนินการในปี 2559
ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ คุณวรายุทธ์ ธนโชคสว่าง ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดกาญจนบุรี ดำเนินการโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลุ่มยุวเกษตรกร โดยการประสานงานกับโรงเรียนเพื่อร่วมมือสร้างความน่าสนใจในการจัดการเรียนรู้การเกษตร มีการส่งเสริมให้รวมกลุ่มเป็นยุวเกษตรกรของแต่ละโรงเรียน แล้วส่งตัวแทนมาอบรมความรู้ด้านการเกษตร ฝึกทักษะด้านการเกษตร ทั้งปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และแปรรูปอาหาร ที่ศูนย์ส่งเสริมเยาวชนเกษตรอาเซียน จังหวัดกาญจนบุรี และศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร จังหวัดนครปฐม
คุณวรายุทธ์ กล่าวว่า ความรู้ที่นำตัวแทนเยาวชนแต่ละโรงเรียนของจังหวัดกาญจนบุรีไปอบรม ประกอบด้วย การเลี้ยงจิ้งหรีด การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ การปลูกพืชสมุนไพร การปลูกกล้วย การปลูกผักปลอดสารพิษ การเพาะถั่วงอก การเพาะเห็ดฟาง การเลี้ยงไก่อินทรีย์ การปลูกผักผสมผสาน ผักสลัด การทำน้ำยาอเนกประสงค์ น้ำหมัก ปุ๋ยปมัก การทำน้ำฟักข้าว โรตี เป็นต้น
สำหรับโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลุ่มยุวเกษตรกร มีทั้งสิ้น 13 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนบ้านท่าดินแดง โรงเรียนราษฎร์บำรุงธรรม โรงเรียนวังศาลา โรงเรียนบ้านเขาตก โรงเรียนบ้านหินดาด โรงเรียนวัดแสนตอ โรงเรียนวัดเขามุสิ โรงเรียนอนุบาลศรีสวัสดิ์ โรงเรียนบ้านสระลุมพุก โรงเรียนบ้านท่าทุ่งนา โรงเรียนบ้านหนองตายอด โรงเรียนบ้านหนองกร่าง และโรงเรียนอนุบาลด่านมะขามเตี้ย ซึ่งปัจจุบันโรงเรียนในจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง 13 แห่ง ได้เริ่มเรียนรู้การเกษตรในช่วงลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ โดยคุณวรายุทธ์ได้ประสานขอความอนุเคราะห์จากเกษตรกรต้นแบบ ปราชญ์ชาวบ้าน และหน่วยงานราชการ เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ และการจัดการเรียนรู้ด้านการเกษตรให้กับนักเรียน ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ หากมีการประเมินผลโครงการแล้ว จะมีการขยายผลสู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ด้านการเกษตรให้ครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ตามเป้าหมายที่สภาเกษตรกรแห่งชาติตั้งไว้
ในท้ายที่สุดของการสนทนาถึงเป้าหมาย แนวทางการทำงาน วัตถุประสงค์ และการส่งเสริมและพัฒนาความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร และองค์กรการเกษตร กับ คุณประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ให้ข้อมูลสรุปที่เป็นตัวจุดประกายแนวคิดให้กับเกษตรกรในการพึ่งพาตนเอง โดยประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ระบุว่า หน้าที่ของประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ คือการสร้างระเบียบ ข้อบังคับ วัฒนธรรมองค์กร ให้ดี ให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง แม้ว่าการทำหน้าที่ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติจะเป็นการทำหน้าที่โดยใครก็ตาม ก็จะต้องเดินไปยังวัตถุประสงค์ของสภาเกษตรกรแห่งชาติที่วางไว้
“ความฝันสูงสุดและเป้าหมายของสภาเกษตรกรแห่งชาติที่ตั้งไว้คือ การที่เกษตรกรมีแผนตำบลในเรื่องเกษตรของตนเองทุกตำบลในประเทศ เพราะเกษตรกรในประเทศที่อ่อนแอมีมาก ส่วนที่เข้มแข็งมีน้อย ยิ่งเมื่อปัจจัยที่เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น น้ำท่วม หรือภัยแล้ง เกิดขึ้น ก็จะส่งผลกระทบให้เกิดหนี้สิน ความอ่อนแอก็จะตามมา ดังนั้น สิ่งที่สภาเกษตรกรแห่งชาติทำได้ ก็คือ การวางรากฐานในเชิงนโยบายต่างๆ ไว้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการหารือกับหน่วยงานภาครัฐ ที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ให้ดำเนินไปตามแนวนโยบายที่ได้ตกลงร่วมกัน ผลประโยชน์ในท้ายที่สุดก็ตกอยู่กับเกษตรกร เพียงเท่านี้ก็ถือว่า สภาเกษตรกรแห่งชาติ ดำเนินงานได้ตามเป้าหมายแล้ว”