เมื่อลำห้วยคะคางวิกฤต ทั้งสารพิษและโลหะหนัก พรั่งพรูสู่อ่างแก่งเลิงจานและแม่น้ำชี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05126150859&srcday=2016-08-15&search=no

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 629

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

บุญยงค์ เกศเทศ

เมื่อลำห้วยคะคางวิกฤต ทั้งสารพิษและโลหะหนัก พรั่งพรูสู่อ่างแก่งเลิงจานและแม่น้ำชี

ลำห้วยคะคาง เกิดจากเนินดินสันปันน้ำ “โคกแบ่ง” ที่ทอดตัวในแนวนอนจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก จากเขตพื้นที่อำเภอวาปีปทุม และอำเภอบรบือ โดยมีลำรางธรรมชาติที่เป็นลำห้วยสาขาถึง 7 สาย มี ห้วยเครือซูด ห้วยหนองหิน ห้วยปลาคูน ห้วยโจด ห้วยหนองแสง ห้วยหนองปลิง และห้วยน้อย นอกจากจะเป็นสันเนินดินกักเก็บน้ำแล้ว ยังเป็นแนวเขตแบ่งพื้นที่ลุ่มน้ำชีกับลุ่มน้ำมูลอีกด้วย ลำห้วยคะคางมีความยาวตลอดสายเกือบ 50 กิโลเมตร ไหลจาก “อ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง” หรือ “อ่างโคกก่อ” ที่หัวสันเขื่อนอยู่ในพื้นที่ตำบลโคกก่อ เชื่อมโยงไปยังตำบลบัวค้อ อำเภอเมืองมหาสารคาม อันเป็นบริเวณท้ายเขื่อน จากเนินดินและอ่างต้นน้ำส่งสายน้ำให้ไหลผ่านพื้นที่หลายหมู่บ้านในตำบลโคกก่อ ตำบลหนองโน ตำบลหนองปลิง ตำบลแวงน่าง จากนั้นจึงไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน ที่บ้านท่าแร่ ตำบลแก่งเลิงจาน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นพื้นที่ชลประทานและคลองส่งน้ำ เพื่อการเกษตรและการประมงถึง 4,500 ไร่

ลำห้วยคะคางเป็นเพียงลำห้วยสายเดียวที่ไหลผ่านกลางเมืองในเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม มีสถานศึกษาหลายแห่งต้องอาศัยแหล่งน้ำจากลำห้วยสายนี้ ทั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏ วิทยาลัยพลศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาลัยอาชีวศึกษา เป็นต้น ก่อนไหลผ่านพ้นไปออกนอกตัวเมือง เปลี่ยนวิถีการไหลจากแนวตะวันตกไปสู่ตะวันออก ผ่านพื้นที่ตำบลลาดพัฒนา ตำบลเขวา ออกไปเชื่อมกับลำน้ำชี ที่บริเวณบ้านท่าตูม ตำบลท่าตูม อำเภอเมืองมหาสารคาม

อ่างเก็บน้ำทั้งสองแห่งที่เป็นแหล่งต้นน้ำของห้วยคะคางคือ อ่างเก็บน้ำห้วยคะคาง หรืออ่างโคกก่อ และอ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจาน สำหรับอ่างโคกก่อนั้นอยู่บริเวณบ้านโคกก่อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีปริมาณพื้นที่รับน้ำฝนได้ถึง 72.50 ตารางกิโลเมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 0.956 ตารางกิโลเมตร หรือ 597 ไร่ มีความจุ 4.126 ล้านลูกบาศก์เมตร

ส่วนอ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจานอยู่ในเขตบ้านโนนหัวฝาย ตำบลแก่งเลิงจาน อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม มีปริมาณพื้นที่รับน้ำฝนได้ 208 ตารางกิโลเมตร ความจุในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 3.04 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,900 ไร่ ในขณะที่ทั้งสองอ่างเก็บน้ำและลำห้วยคะคางอยู่ในเขตพื้นที่การปกครองท้องถิ่นถึง 11 องค์กร มี องค์การบริหารส่วนตำบลบัวค้อ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกก่อ องค์การบริหารส่วนตำบลดอนหว่าน องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลิง องค์การบริหารส่วนตำบลแวงน่าง องค์การบริหารส่วนตำบลหนองโน องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งเลิงจาน เทศบาลเมืองมหาสารคาม องค์การบริหารส่วนตำบลลาดพัฒนา เทศบาลตำบลเขวา และองค์การบริหารส่วนตำบลท่าตูม ซึ่งทั้ง 11 องค์กร มีประชากรราว 150,000 คน ใน 2,000 ครัวเรือน

จากข้อมูลดังกล่าวได้พบข้อเท็จจริงหลายประการ เป็นต้นว่า เกษตรกรได้เพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวเกือบเต็มบริเวณพื้นที่ต้นน้ำ ทำให้ผืนป่าต้นน้ำซึ่งมีพื้นที่รวมราว 5,000 ไร่ ถูกทำลายเสื่อมโทรมเกือบสิ้นเชิง มีป่าชุมชนบ้านหนองคูณ ป่าหนองโน-อีดำ เป็นต้น อีกทั้งยังมีการใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างรุนแรงส่งผลต่อคุณภาพน้ำ เกิดการพังทลายของหน้าดิน ส่งผลให้ลำห้วยสาขาตื้นเขิน เกิดปัญหาน้ำท่วมหลากในฤดูฝน พลังน้ำไหลเร็วและแรง ครั้นถึงฤดูแล้งลำห้วยสาขากลับแห้งผาก เหลือเพียงบริเวณฝายในลำห้วย แต่ก็ไม่อาจใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรมได้มายาวนานกว่า 3 ปีต่อเนื่องกัน

ประการสำคัญอันเป็นปัญหาที่แผ่กระจายในวงกว้างเกือบทุกสังคมคือเรื่องราวของขยะ โดยเฉพาะบ่อขยะขนาดพื้นที่เกือบ 50 ไร่ ที่อยู่บริเวณต้นน้ำของลำห้วยคะคาง ที่เริ่มกลายเป็นพื้นที่ทิ้งขยะของ 19 หน่วยงาน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ซึ่งส่งผลให้น้ำพาสิ่งปฏิกูลอันเป็นมลพิษไหลลงสู่ลำห้วยร่องน้ำสาขา ตลอดจนไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำแก่งเลิงจานอันเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคหลักของคนในทุกเขตพื้นที่ โดยขาดการแก้ไขอย่างถูกวิธี จนในที่สุดก็เกิดความขัดแย้งของคนในพื้นที่กับหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างรุนแรงในปี พ.ศ. 2550 จนชาวบ้านต้องสูญเสียผู้นำ เรื่องราวจึงเงียบไปสักระยะ จนถึงปี พ.ศ. 2558 เกิดวิกฤตขยะล้น น้ำเน่าไหลลงอ่างน้ำสาธารณะ ถึงกับมีการเจรจาทำข้อตกลงกันถึง 9 ข้อ แต่ก็ดูจะยังไม่ขับเคลื่อนไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาสักเท่าใดนัก

เนื่องจากลำห้วยคะคางเป็นเพียงลำน้ำสายเดียวที่ไหลผ่านเขตเทศบาลเมืองมหาสารคาม ซึ่งมีประชากรหนาแน่น อีกทั้งลำห้วยคะคางและลำรางสาขาก็ไหลผ่านพื้นที่กลางเมือง เป็นต้นว่า คลองสมถวิล กุดนางไย กุดหว้า ต่างได้กลายเป็นพื้นที่รองรับน้ำเสียจากชุมชนเมือง ทำให้น้ำเน่าเสียสะสม ตะกอน ผักตบชวา ก่อนจะไหลเอื่อยๆ ลงสู่แม่น้ำชี บริเวณบ้านท่าประทาย และในพื้นที่ตำบลท่าตูม อำเภอเมือง ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 20 กิโลเมตร

วิกฤตดังกล่าวเห็นทีจะต้องให้หน่วยงานทุกองค์กร ทั้งส่วนท้องถิ่น ส่วนราชการ ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงประชาชนที่เป็นเกษตรกรและผู้ใช้น้ำในชุมชนเมือง ควรได้ตระหนักถึงปัญหาและหันหน้าเข้ามาใส่ใจ และร่วมมือกันอย่างจริงจัง แก้ไขด้วยสันติวิธี ทำนองปรองดอง เพื่อสุขภาวะของตัวเราเองและสังคมส่วนรวม

1 thought on “เมื่อลำห้วยคะคางวิกฤต ทั้งสารพิษและโลหะหนัก พรั่งพรูสู่อ่างแก่งเลิงจานและแม่น้ำชี

Leave a comment