ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
10 มกราคม 2560 เวลา 09:04 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/politic/474724

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ประเมินทิศทางลมแล้ว นี่น่าจะเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายสำหรับความพยายามเดินหน้าสร้าง “ปรองดอง” ที่เริ่มกลับมาขยับอีกรอบหลังไร้ความเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ และอาจจะเป็นโอกาสสุดท้าย
ล่าสุด ที่ประชุมร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เห็นชอบออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ
พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เห็นควรให้เพิ่มเรื่องการสร้างความปรองดอง ให้เชื่อมโยงกับการปฏิรูปและคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คสช.
โดยมอบหมายให้ สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของทั้งคณะกรรมการปฏิรูปปรองดอง และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ประมวลประเด็นต่างๆ และจัดลำดับความเร่งด่วน ว่ามีเรื่องอะไรสำคัญ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ
ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ช่วงปลายปี 2558 พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องคดีความต่างๆ ว่า ให้ฝ่ายกระบวนการยุติธรรมไปดูว่าเรื่องใดก็ตามที่เข้าสู่กระบวนการไปแล้ว ดำเนินการให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพราะอยากทำให้เรื่องปรองดองจบสิ้นภายในปี 2560
“ซึ่งในปี 2559 นี้ ทุกอย่างมันจบแล้ว และในปี 2560 จะได้เตรียมการเรื่องกระบวนการปรองดองว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าคดีสิ้นสุดไปแล้ว ตัดสินไปแล้วก็มารอเข้าคิว การปรองดองแต่ละกลุ่ม แต่ละพวก ถ้าไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมแล้วเข้าสู่กระบวนการปรองดองเลย มันไม่น่าจะได้” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
อีกมุมหนึ่งมองว่าการยื้อเรื่อง “ปรองดอง” มาจนถึงทุกวันนี้ โดยที่ไม่มีการดำเนินการใดๆ อย่างเป็นรูปธรรมนั้น อาจเป็นเพราะเรื่องนี้เป็น “เผือกร้อน” ที่ไม่มีใครอยากเข้าไปดำเนินการ
เมื่อเรื่อง “ปรองดอง” ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีความขัดแย้งซับซ้อนที่สะสมมายาวนาน การเข้าไปดำเนินการจัดการคลี่คลายย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แค่การออกมาขยับเตรียมดำเนินการคลี่คลายสลายความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ จนยากจะหาข้อสรุปร่วมกันที่พอจะเดินหน้าไปด้วยกันได้
ยังไม่รวมกับโจทย์ใหญ่ อย่างเรื่อง “นิรโทษกรรม” ที่เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ไม่มีใครอยากแตะ
สุดท้ายความพยายามที่ผ่านๆ มาหลายครั้ง จึงจบลงเพียงแค่การสรุปเป็นรายงานเล่มหนา พิจารณาหาที่มาที่ไปของปัญหาตั้งแต่อดีต พร้อมข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาที่ยากจะนำไปสู่การปฏิบัติและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย
ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีการตั้งคณะกรรมการหลายชุดในหลายรัฐบาลที่ผ่านมาเพื่อพยายามสร้างกระบวนการปรองดอง แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการไปจนถึงจุดหมายปลายทางได้
จุดเปราะบางตรงนี้ทำให้ รัฐบาล คสช.ไม่อาจผลีผลามเร่งดำเนินการใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงจะเป็นชนวนสร้างความวุ่นวายและรุนแรงในอนาคต ที่มีแต่จะซ้ำเติมให้บรรยากาศช่วงปลายโรดแมป
มีแต่ความวุ่นวาย
พร้อมปล่อยให้เรื่องนี้ไว้เป็นภารกิจท้ายๆ ที่จะต้องทำ เพราะอีกด้าน หากปล่อยให้คาราคาซังไปถึงรัฐบาลหน้า โอกาสที่สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นย่อมเป็นไปได้ยาก
แถมจะกลายเป็นแรงกดดันที่ย้อนกลับมายัง คสช. ซึ่งประกาศเป้าหมายจะเดินหน้าสร้างการปฏิรูปและปรองดอง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจ
จังหวะนี้จึงถือเป็นโอกาสสุดท้ายของ คสช.ที่ยังคงสถานะและอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ
ทว่า เวลานี้ยังต้องรอดูความคืบหน้าและแนวทางการดำเนินการสร้างความปรองดอง ที่ทาง สุวิทย์ ในฐานะเลขานุการของคณะกรรมการปฏิรูปปรองดองจะประกาศแนวทางการดำเนินการออกมาอย่างไร
โดยเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการจัดทำแนวทาง ซึ่งจะนำผลการศึกษาต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสร้างความปรองดองที่จัดทำโดยคณะกรรมการหรือคณะทำงานหลายชุดในอดีตมาใช้ประกอบ
ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็น ผลการศึกษาของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นประธาน ที่สรุปแนวทางปรองดอง 6 ข้อ
หนึ่งในนั้น คือ การนิรโทษกรรมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในช่วงปี 2548-2557 แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ระดับผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ และแยกผู้กระทำผิดเป็น 3 ประเภท
ขณะที่โมเดลใหม่ที่เชื่อมโยงการปรองดองเข้ากับ “การปฏิรูป” และ “ยุทธศาสตร์ชาติ” รอบนี้จะออกมาอย่างไรยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตา
แต่ที่สำคัญ คือ แนวทางและมาตรการการสลายความขัดแย้งที่จะประกาศออกนั้น จะสามารถสร้างความยอมรับให้กับแต่ละฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะกับคู่ขัดแย้งที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
นี่จึงถือเป็นโอกาสสุดท้าย ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัว