ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 26 ธ.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/820877

ขณะที่เรามีปริมาณการบริโภคน้ำมันมากถึงวันละประมาณ 1 ล้านบาร์เรล ทำให้ต้องมีการนำเข้าน้ำมันดิบประมาณกว่าวันละ 850,000 บาร์เรล เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณการใช้ในประเทศ
เมื่อย้อนกลับไปดูการจัดหาแหล่งพลังงานเพิ่มของประเทศยิ่งน่าตกใจ เพราะการเปิดให้สัมปทานรอบที่ 21 เพื่อสำรวจขุดเจาะปิโตรเลียมในบ้านเรานั้น…หยุดชะงักมา 9 ปีแล้ว พูดง่ายๆว่าเปิดสัมปทานหาแหล่งก๊าซ แหล่งน้ำมันดิบใหม่ๆไม่ได้มานานแล้ว
ต้นตอของปัญหาส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากการประท้วงที่ไม่เลิกราและเปลี่ยนประเด็นไปข้างหน้าเรื่อยๆของเอ็นจีโอและนักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า “เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย” หรือ “คปพ.” ประเด็นล่าสุดที่เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ เป็นประธานบรรจุลงไปในกฎหมายนั่นคือ ให้มีการตั้ง “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ” เพื่อเข้ามาควบคุมดูแลกิจการด้านปิโตรเลียมทั้งหมด แทนหน่วยงานราชการที่มีอยู่ นัยว่า…เพื่อให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมดูแล
ฟังเผินๆน่าสนใจถ้าไม่ความแตกเสียก่อนเพราะข้อเสนอ คปพ.ที่ว่านี้ คณะกรรมการในบริษัทพลังงานแห่งชาติล็อกสเปกให้แต่ภาคประชาชน… เอ็นจีโอที่เป็นพรรคพวกตัวเองทั้งนั้น ออกแนวชงเองกินเอง
ที่สำคัญโมเดลบรรษัทพลังงานแห่งชาติ ถูกพิสูจน์ชัดเจนว่าล้มเหลว ตัวอย่างเห็นชัดคือ ประเทศเวเนซุเอลา หนึ่งในสมาชิกองค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือโอเปก (OPEC)…และเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลกถึง 297,600 ล้านบาร์เรล…เหลือผลิตได้ยาวนานถึง 310 ปี
เมื่อประธานาธิบดี ฮูโก ซาเวส เข้าสู่อำนาจได้เอาแนวคิด “บรรษัทพลังงานแห่งชาติ” มาใช้ พร้อมกับไล่ยึดกิจการปิโตรเลียมของภาคเอกชนมาบริหารเอง นำผลกำไรมาอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศให้ประชาชนใช้กันถูกๆ…เพียงลิตรละ 30-40 สตางค์ ในแนวทางประชาชนนิยมจน เศรษฐกิจประเทศล่มสลาย
จากประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในปี 2556…เวเนซุเอลาต้องนำเข้าน้ำมันดิบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกาใต้ วันนี้ประชาชนในเวเนซุเอลาต้องเข้าคิวซื้ออาหาร ต้อง
ต่อแถวเพื่อเติมน้ำมันที่ขายในราคาสากล
โมเดลบรรษัทพลังงานแห่งชาติ…ล่มสลาย แถมพ่วงมาด้วยข้อกล่าวหาการทุจริตมากมายของเอ็นจีโอที่เข้ามานั่งเก้าอี้บริหารในฐานะตัวแทนภาคประชาชน เหลียวมองสถานการณ์บ้านเราอาจไม่ไปไกลถึงจุดนั้น แต่เมื่อมีแนวโน้มจะไม่ได้ตามต้องการ ก็มีแรงส่งบางอย่างที่ยื้อกฎหมายสำคัญต่อความมั่นคงทางพลังงานไทย
ในชั้นกรรมาธิการ…ต้องเลื่อนการพิจารณามาแล้ว 3 วาระ ทั้งที่ตามแผนงานต้องจบภายในเดือนตุลาคม ในวันนั้นแม้แต่ พล.อ.สกนธ์ ประธานกรรมาธิการฯ ยังเคยออกมาระบุว่า “มีกระบวนการอยากให้คณะ กมธ.วิสามัญฯถอนร่างกฎหมายออกไป” พร้อมกล่าวว่า…ข้อเสนอของภาคประชาชนที่ต้องการให้มีการตั้งบรรษัทพลังงานแห่งชาติ รัฐบาลและกระทรวงพลังงานอยู่ในระหว่างการศึกษาว่าสมควรให้มีหรือไม่?
“ในชั้นของคณะ กมธ.จะไม่ระบุเรื่องบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไว้ในร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับ เพราะการทำงาน การศึกษาของรัฐบาลและกระทรวงพลังงานยังไม่เป็นที่ยุติ”
พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ หนึ่งในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และร่าง พ.ร.บ.ภาษีปิโตรเลียม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) บอกว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้แก้ไขหลักการร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียมและให้แก้ไขประเด็นภาษีในร่าง พ.ร.บ.ภาษีปิโตรเลียมด้วย
การแก้ไขในหลักการของกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาเห็นชอบของ สนช.มาแล้ว ทำให้ประธาน กมธ.จะต้องให้รัฐบาลเป็นผู้พิจารณา แล้วส่งกลับมายังคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาอีกครั้ง นั่นหมายความว่าระยะเวลาในการพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะต้องเลื่อนออกไปอีก
และ…ไม่มีใครทราบว่าจะเลื่อนออกไปยาวนานเพียงใด
ล่าสุดแม้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาล ที่ประชุม สนช.ได้อนุมัติให้กรรมาธิการขยายระยะเวลาการพิจารณากฎหมายทั้ง 2 ฉบับออกไปเป็นรอบที่ 4…ยืดออกไปอีก 30 วัน ถึงวันที่ 21 มกราคม 2560 จนถึงขณะนี้กรรมาธิการชุดนี้ใช้ระยะเวลาร่างกฎหมายทั้ง 2 ไปแล้ว 150 วัน ที่สำคัญ…ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะมีการขยายเวลารอบที่ 5 หรือ 6 อีกหรือไม่ ทั้งที่ตามแผนงานต้องจบภายในเดือนตุลาคม
หากเป็นการยืดระยะเวลาเพื่อความรอบคอบในการพิจารณากฎหมาย เชื่อว่าเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายยอมรับ แต่หากเป็นการยื้อเพียงเพราะต้องการตอบสนองคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างภาคประชาชน แล้วเอาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศเป็นตัวประกัน
คำถามสำคัญมีว่า…ประเทศไทยจะต้องเสียโอกาสอะไรไปบ้าง?
หากขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายล่าช้าออกไป นั่นหมายถึงขั้นตอนในการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องยืดเวลาออกไปด้วย โดยเฉพาะแนวทางการบริหารแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุ 2 แหล่ง คือ แหล่งเอราวัณ ที่จะหมดอายุในปี 2565 และแหล่งบงกช ที่จะหมดอายุในปี 2566
ขณะที่ วีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ออกมายอมรับว่า ความล่าช้าดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประมูลแหล่งสัมปทานทั้งสอง จากกำหนดการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. สั่งให้ประมูลแล้วเสร็จและรู้ผลประมูลภายในเดือน กันยายน 2560
“กระบวนการในเรื่องของกฎหมาย หากร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ ผ่านการพิจารณาและมีผลบังคับใช้ ขั้นตอนต่อมาทางกระทรวงพลังงาน จะต้องออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องและร่างเงื่อนไขการประมูล (TOR) ซึ่งใช้เวลาอีก 6 เดือน…ดังนั้น หาก สนช.พิจารณากฎหมายแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2560 กฎหมายลูกและ TOR จะออกได้ประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน จากนั้นจึงจะเริ่มการประมูลได้… แต่ถ้า สนช.เลื่อนพิจารณาไปเรื่อยๆ กระบวนการทุกอย่างก็ต้องเลื่อนตามไป”
ความไม่ชัดเจนที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แน่นอนว่าผู้รับสัมปทานรายเดิมจะไม่สามารถวางแผนการผลิตปิโตรเลียมให้ต่อเนื่องในระยะก่อนสิ้นสุดสัมปทานในปี 2565-2566 ได้
ขณะที่ข้อมูลจากสำนักนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า หากขั้นตอนการดำเนินงานเปิดประมูลมีความล่าช้าและไม่สามารถหาผู้ชนะการประมูลได้ทันภายในกลางปี 2560 หมายถึงปริมาณก๊าซธรรมชาติจาก 2 แหล่งดังกล่าว…จะหายไปประมาณ 2,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น 76% ของปริมาณการจัดหาก๊าซในอ่าวไทย และ 44% ของปริมาณการจัดหาก๊าซทั้งประเทศ
ที่สำคัญ ก๊าซธรรมชาติจากทั้ง 2 แหล่งนี้ เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า ถึงตรงนี้คงจะกล่าวได้เพียงว่า…“อย่าให้ความมั่นคงด้านพลังงานกลายเป็นตัวประกันของคนเพียงบางกลุ่ม ที่ยึดเอาไว้ต่อรองสร้างผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประเทศชาติ”.