ความต่างระหว่าง ข้าวไทย กับ ข้าวญี่ปุ่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน

http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05079010959&srcday=2016-09-01&search=no

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 28 ฉบับที่ 630

หมอเกษตรทองกวาว

ความต่างระหว่าง ข้าวไทย กับ ข้าวญี่ปุ่น

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมมีความสงสัยว่า ข้าวญี่ปุ่น ลักษณะของเมล็ด สั้น ป้อม ไม่เหมือนข้าวบ้านเราที่มีเมล็ดยาว อยากทราบมีพันธุกรรมต่างกันอย่างไร ทำไม ข้าวญี่ปุ่นจึงให้ผลผลิตสูงมาก และจะนำข้าวญี่ปุ่นมาปลูกที่บ้านเราจะได้หรือไม่ ขอคำอธิบายด้วยครับ

ขอแสดงความนับถือ

สุทธิ ศรีวงศ์พล

เลขที่ 175/18 ซอยพิบูลย์อุปถัมภ์ สามเสนนอก ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310

ตอบ คุณสุทธิ ศรีวงศ์พล

ปัจจุบันในโลกเรา มีการบริโภคข้าวเพียง 2 ชนิด คือ ชนิดอินดิก้า (Indica Type) เป็นข้าวเมล็ดยาว อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า ชนิดจาโปนิก้า (Japonica Type) เป็นข้าวเมล็ดสั้น

ข้าวอินดิก้า มีเมล็ดเรียว ยาว ปลูกและบริโภคในเขตร้อนชื้น มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอัสสัม-ยูนนาน รอยต่อระหว่างจีนกับอินเดีย ลักษณะเด่นของข้าวชนิดนี้ มีใบสีเขียวซีด โค้งโน้มต่ำลง ไม่ตั้งตรง ลำต้นสูง และเป็นชนิดที่ตอบสนองต่อช่วงแสง คือจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว ที่เวลากลางวันสั้นกว่าเวลากลางคืน ส่วนใหญ่จัดอยู่ในชนิดอินดิก้า ส่วน ข้าวจาโปนิก้า ปลูกอยู่ในญี่ปุ่น จีนตอนเหนือ ไต้หวัน และเกาหลี ลักษณะเด่นของข้าวชนิดนี้ มีเมล็ดป้อม สั้น ค่อนข้างกลม เมื่อหุงต้มแล้วไม่มีกลิ่น เกาะตัวกันคล้ายข้าวเหนียว ลำต้นเตี้ย ใบตั้ง แตกกอดี ไม่ตอบสนองต่อช่วงแสง แต่จะตอบสนองต่ออุณหภูมิ ตัวอย่าง เมื่อนำข้าวชนิดดังกล่าวมาปลูกที่สถานีทดลองข้าวบางเขน เขตจตุจักร ซึ่งมีอากาศร้อนกว่าที่ญี่ปุ่น ปลูกไปได้เพียง 45 วัน ข้าวก็จะออกดอก หากต้องการปลูกให้ได้ผลดี ต้องนำไปปลูกที่ภาคเหนือของไทย ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น

โดยธรรมชาติแล้ว ในภูมิภาคที่มีอากาศหนาวเย็น ผลผลิตของพืชหรือต้นไม้จะสูงกว่าพืชในเขตร้อน ด้วยในเขตหนาวอุณหภูมิกลางคืนกับกลางวันแตกต่างกันหลายองศาเซลเซียส อีกทั้งบางช่วงพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เวลา 4 นาฬิกา ทำให้เวลากลางวันค่อนข้างยาวนาน ช่วยให้ขบวนการสังเคราะห์แสงของต้นไม้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การสะสมแป้งและน้ำตาลจึงมีมาก ในขณะที่เวลากลางคืนมีอากาศเย็น ขบวนการหายใจที่ต้องดึงเอาแป้งและน้ำตาลไปเผาไหม้ ในระดับต่ำกว่าพืชในเขตร้อนที่มีอุณหภูมิกลางวันและกลางคืนแทบไม่ต่างกัน ดังนั้น ปริมาณแป้งและน้ำตาลที่ได้จากขบวนการสังเคราะห์แสงที่ส่งไปเก็บยังผล ลำต้น หรือที่หัวของพืชในเขตหนาว จึงมีมากกว่าพืชในเขตร้อน ตามที่กล่าวมา

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าญี่ปุ่นมีความสามารถผลิตข้าวได้ในปริมาณต่อพื้นที่สูงมากก็ตาม แต่ญี่ปุ่นก็ปลูกข้าวได้เพียงปีละ 1 ครั้ง เท่านั้น

ปลูกต้นชบา กุหลาบ มะนาว ออกดอก

พอตูมแล้วร่วง

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ดิฉันมีเรื่องแก้ไม่ตกเลย เกี่ยวกับการปลูกดอกไม้ และมะนาว คือดิฉันปลูกชบา พอออกดอกมาแค่ตูมจะเหลืองและหล่น ไม่บานเลย ไม่ทราบจะทำอย่างไร จะใช้ปุ๋ยอย่างไรดีคะ กุหลาบ ก็เช่นกัน ซื้อมาออกดอกสวยดี พอนำมาปลูกสักพัก ดอกกลับเล็กลง ทั้งๆ ที่รดน้ำ ใส่ปุ๋ย ตลอด มะนาว ปลูกในวงบ่อซีเมนต์ พอติดดอกก็ร่วง ไม่เคยติดลูกเลย ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี คุณหมอเกษตรกรุณาช่วยแนะนำด้วยนะค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

สมคิด โมฬีพันธ์

เลขที่ 201 หมู่ที่ 10 ตำบลหนองรี อำเภอลำสนธิ จังหวัดลพบุรี 15190

ตอบ คุณสมคิด โมฬีพันธ์

ชบา ปัจจุบันมีการนำพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาปลูกในบ้านเรามากขึ้น มีดอกสีสันสวยงาม การติดดอกแล้วร่วง เกิดได้จากหลายกรณี ตั้งแต่ให้น้ำมากเกินไปก็ทำให้ดอกร่วงได้ ประการสำคัญต้นไม่สมบูรณ์ อาหารไม่พอ ควรใส่ปุ๋ยให้บ้าง โดยใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 เพียงเล็กน้อย จะช่วยให้ติดดอกดีขึ้น

กุหลาบ เป็นไม้ที่เลี้ยงยาก เพราะเป็นไม้ที่ต้องการอากาศหนาวเย็น จึงปลูกได้ดีที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กาญจนบุรี และราชบุรี บางอำเภอ ส่วนใหญ่แล้วกุหลาบที่ใส่กระถางนำมาจำหน่าย มักนำมาจากพื้นที่ดังกล่าว เมื่อนำมาปลูกในถิ่นอื่นมักไปไม่รอด อย่างไรก็ตาม หากต้องการปลูกด้วยใจรักย่อมทำได้ เริ่มจากเปลี่ยนกระถาง ปรุงดินให้โปร่ง ร่วนซุย อย่าให้น้ำขังแฉะขณะรดน้ำ หรือหลังจากฝนตก และควรพรางแสงด้วยซาแรนสีดำ ทั้งด้านบนและแนวตั้งด้านข้างที่มีลมพัดแรง ตัดแสงลงอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ ให้ปุ๋ยชนิดละลายช้า สูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12 คราวละ 1 ช้อนชา ทุกๆ 2 เดือน จะช่วยลดปัญหาข้างต้นลงได้

มะนาว ที่ติดผลดกต้องบำรุงต้นให้สมบูรณ์ สูตร 15-15-15 อัตรา 2 ช้อนโต๊ะ ต่อ 1 วงบ่อ เดือนละ 1 ครั้ง มะนาวเป็นพืชต้องการแดดจ้า จึงควรให้ได้รับแสงอย่างน้อยวันละ 4-6 ชั่วโมง ดินปลูกต้องสะอาด และโปร่งร่วนซุย เพื่อไม่ให้น้ำขังแฉะขณะรดน้ำ หรือฝนตก ประการสำคัญ ต้องควบคุมแมลงศัตรูให้ได้ หากปลูกไว้ใกล้บ้านจำนวนไม่มาก แนะนำให้ใช้ยาเส้น หรือยาฉุน มีจำหน่ายตามร้านขายของชำทั่วไป ถุงละ 10 บาท แบ่งมาครึ่งถุง แช่ในน้ำสะอาด จำนวน 1 ลิตร เป็นเวลา 3 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย แล้วคั้นและกรองเอาเฉพาะน้ำสีชา ใส่ในกระบอกฉีด หรือฟ็อกกี้ เติมเหล้าขาว 2 ฝาแม่โขง เขย่าให้เข้ากัน นำไปฉีดใบอ่อนที่ผลิออกมาตั้งแต่วันแรก ป้องกันหนอนชอนใบ หนอนกินใบ และแมลงอื่นๆ เข้ามาทำลาย ฉีดทุกๆ 3 วัน จนใบอ่อนมีอายุ 10 วัน ขึ้นไป จึงจะปลอดภัย เมื่อติดผลแล้วให้ใส่ปุ๋ย สูตร 13-21-13 อัตรา 2-3 ช้อนโต๊ะ ปรับได้ตามความเหมาะสม

หากปฏิบัติได้ตามคำแนะนำ คุณจะได้มะนาวให้ผลดีตามความต้องการ

มารู้จัก กล้วยไม้รองเท้านารีดอยตุง กับ รองเท้านารีอินทนนท์ เชียงใหม่

เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ

ผมสนใจอยากรู้จักกล้วยไม้รองเท้านารีดอยตุง กับ รองเท้านารีอินทนนท์ เชียงใหม่ ว่า มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะฟังเพื่อนๆ คุยกันแล้วรู้สึกมืดแปดด้านเลยทีเดียว จึงขอรบกวนคุณหมอเกษตรช่วยกรุณาอธิบายรูปร่างหน้าตาของกล้วยไม้ทั้งสองให้ทราบบ้าง ผมขอขอบคุณมาในโอกาสนี้

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

พิสนธิ์ วงศ์พฤกษ์

เลขที่ 85 หมู่ที่ 12 ตำบลหนองหัวโพ อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี 18170

ตอบ คุณพิสนธิ์ วงศ์พฤกษ์

กล้วยไม้รองเท้านารีดอยตุง เป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีตามพื้นดิน อยู่กันเป็นกลุ่ม มีแผ่นใบสีเขียวเข้มเป็นมัน กว้าง 2-3 เซนติเมตร และยาว 10-15 เซนติเมตร ออกดอกเดี่ยว ก้านตั้งตรง กลีบดอกสีเหลืองอมน้ำตาล กลีบบนแผ่ออกมีสีชมพูอมม่วง สานเป็นลายร่างแห ส่วนกระเป๋ามีสีเหลืองอมน้ำตาลเป็นมัน ส่วนโล่สีขาว เจริญเติบโตได้ดีในที่มีอากาศเย็น เช่น บนดอยสูง ออกดอกระหว่างเดือนตุลาคม ไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ พบว่า มีการกระจายพันธุ์อยู่ที่พม่า และประเทศไทย

รองเท้านารีอินทนนท์ เชียงใหม่ ชอบอาศัยและเจริญเติบโตตามซอกผาหิน และเกาะอาศัยตามต้นไม้ มีใบยาว 15-20 เซนติเมตร กว้าง 2-3 เซนติเมตร มีดอกย่อยเพียงดอกเดียว ก้านดอกสีเขียว มีจุดประสีม่วงแดง กลีบดอกหนาเป็นมัน กลีบนอกด้านบนที่โคนสีน้ำตาลอมแดง กระเป๋าสีม่วง แดง หรือน้ำตาลแดง โล่สีเหลืองที่ศูนย์กลางเป็นตุ่มนูนสีเดียวกัน เติบโตได้ดีในที่มีอากาศหนาวในบางฤดู

ออกดอกระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ มีการกระจายตัวอยู่ในอินเดีย พม่า และไทย

ภาพและข้อมูล ได้จากงาน Apoe 2016 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี

Leave a comment