ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 28 ก.พ. 2560 05:30
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/862673

คุณยังจำวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงและเจ็บปวดที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ไหม?…
วิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย หรือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” บทเรียนทางเศรษฐกิจที่คนไทยต้องจดจำไปชั่วลูกชั่วหลาน…
หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ณ เวลานั้น ประเทศไทยกำลังประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ประชาชนทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ เศรษฐีน้อยใหญ่ หรือชาวบ้านร้านตลาด ต่างกลัดกลุ้มนอนก่ายหน้าผากค่อนคิดหาทางออกให้กับปัญหาทางการเงินที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตอย่างหนักหน่วง

ตกงาน ขายตัว ฆ่าตัวตาย! ฝันร้ายต้มยำกุ้ง
ณ เวลานั้น บริษัททั่วทุกมุมเมืองประกาศเลิกจ้างกันอย่างมโหฬาร ซึ่งการเลิกจ้างแรงงานครั้งยิ่งใหญ่ที่ว่านี้ ทำให้ลูกจ้างไร้รายได้ ทุกครอบครัวต้องประหยัดค่าใช้จ่ายสุดชีวิต คนตกงานที่เคยอยู่ในเมืองไม่สามารถกลับบ้านได้ เนื่องจากอพยพออกมานานเกินไปเสียแล้ว…
ส่วนผู้ที่ทำงานในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หลายแห่งถูกยึดบ้านยึดรถ หลายคนต้องออกนอกประเทศ หลายคนเข้าอีหรอบไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย บุตรหลานที่เคยเรียนหนังสือก็ไม่สามารถเรียนต่อได้ เนื่องจากพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสีย นักเรียนนักศึกษาบางคนต้องหารายได้พิเศษด้วยการขายตัว
ขณะที่ บริษัทบ้านจัดสรร อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมผลิตวัสดุก่อสร้าง ธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง บริษัทหลายแห่งต้องปิดกิจการ บริษัทหลายแห่งมีหนี้ท่วมหัว และบนหน้าหนังสือพิมพ์มีแต่ข่าวคนฆ่าตัวตายรายวัน!
ไม่เว้นแม้แต่ ประเทศเพื่อนบ้านในละแวกเอเชียก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย ไม่ว่าจะจีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และมาเลเซีย ต่างประสบปัญหาหนี้เน่า (NPL) หรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน อันนำมาซึ่งความเสียหายแก่สถาบันการเงิน และธุรกิจ รวมทั้งบุคคลที่เป็นหนี้อย่างกว้างขวาง

วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์!
โดยวิกฤติต้มยำกุ้งอันเจ็บช้ำที่เรากำลังหยิบยกมาพูดถึงกันอยู่นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ในยุครัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน รัฐบาลได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงจาก 25 บาท เป็น 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในทันที และต่อมาทำสถิติอ่อนตัวต่ำสุดที่ระดับ 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ประเทศไทยก็ตกหลุมวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
หลังจากทางการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทไปแล้วนั้น ความเลวร้ายก็อุบัติขึ้นโดยที่หลายคนไม่ทันได้ตั้งตัว จีดีพี ปรับตัวลดลงฮวบฮาบ จากร้อยละ 2.6 ในปี 2540 เป็นร้อยละ -2.2 ในปี 2541 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดฮวบจาก 1,410.33 จุดในเดือนมกราคม 2539 เหลือเพียง 207 จุดในเดือนกันยายน 2541 คิดเป็นมูลค่าตลาดที่หายไปรวมกันกว่า 3,210,353 ล้านบาท
ขณะที่ ยอดหนี้เสียธนาคารพาณิชย์ไทย พุ่งขึ้นเป็น 2.5 ล้านล้านบาท สถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องกว่า 58 แห่ง ถูกสั่งระงับการดำเนินชั่วคราว จนในที่สุดต้องปิดกิจการไป ทั้งสิ้น 56 แห่งในปี 2540 และอีก 11 แห่งในปี 2541 ความเลวร้ายไม่หยุดลงเพียงเท่านี้ ราคาน้ำมันพุ่งพรวด จนผลักให้ราคาสินค้าประเภทอื่นๆ สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
แต่ เดี๋ยวก่อน! ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 มิใช่วันเริ่มต้นต้มยำกุ้งเดือด เพราะวันที่จุดเตาต้มยำกุ้งหม้อนี้ให้เดือดพล่านนั้น คือช่วงเวลาที่ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจ…

ฝันเฟื่องไปไกล หรือว่าไทยจะกลายเป็น เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย?
ในปี 2530 เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมโหฬาร อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 8-9 ต่อปี จนหลายต่อหลายคนต่างคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะกลายเป็น “เสือตัวใหม่” แห่งเอเชียในไม่ช้า
ในปีเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทยเลือกดำเนินนโยบายเปิดเสรีทางการเงิน โดยปรับกฎระเบียบเพื่อให้เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศเข้าออกได้โดยเสรี แต่ไม่มีการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน
ถัดมา ในปี 2536 ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities) โดยมีเป้าหมายให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค จากนั้นเงินทุนต่างประเทศต่างหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้ตลาดทุนในประเทศเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก
ขณะที่ เงินทุนเหล่านี้ถูกนำมาใช้ปล่อยกู้ในประเทศเพื่อสร้างกำไร ซึ่งสามารถสร้างกำไรให้กับผู้ปล่อยกู้ได้อย่างมากมายมหาศาล เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำกว่าในประเทศค่อนข้างมาก
ในขณะนั้น เงินทุนอีกจำนวนไม่น้อยถูกนำไปใช้ลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนับว่ามีความร้อนแรงอย่างมาก นักลงทุนหลายต่อหลายรายเก็งกำไรราคาที่ดิน ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างมาก และเกิดโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียม

พลาดพลั้ง เผลอวิ่งไล่ล่า “ฟองสบู่”…
ทว่า นักลงทุนชาวไทยทั้งหลายต่างพยายามกอบโกยผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด หลายคนกลายเป็นเศรษฐีจากการเก็งกำไรและการเล่นหุ้นอย่างไม่ยากเย็น หลายคนต่างเพลิดเพลินกับโอกาสและความมั่งคั่งที่อยู่ตรงหน้า จนหลงคิดไปว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งและเติบโตอย่างแท้จริง แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพยายามวิ่งไล่ล่าไขว่คว้า คือ “ฟองสบู่” หากเพราะเศรษฐกิจ ณ เวลานั้นขาดรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และพร้อมจะแตกสลายไปต่อหน้าต่อตาคุณได้ทุกเมื่อ
ฉะนั้น วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จึงเป็นดั่งวันที่ต้มยำกุ้งเดือดปะทุ เศรษฐกิจไทยล้มลงจนแทบลุกไม่ขึ้น อาการของวิกฤติเริ่มแสดงออกตั้งแต่ต้นปี 2539 การส่งออกชะลอตัวเฉียบพลัน จากร้อยละ 24.8 ในปี 2538 เป็นร้อยละ -1.9 ในปี 2539 ต่างชาติเริ่มถอนทุน หนี้สินของสถาบันการเงินเริ่มสูงขึ้น จนประสบกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง
ด้วยอาการอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยทั้งภาคสถาบันการเงินและภาคการเงินตั้งแต่ช่วงปี 2539 ได้ทำลายความเชื่อมั่นของชุมชนการเงินระหว่างประเทศเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับการดำเนินนโยบายระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง ได้ดึงดูดให้นักเก็งกำไรต่างชาติถือโอกาสเข้ามาโจมตีค่าเงินบาททันที!

หายนะมาเยือน! หนี้มหาศาล รัฐพลาดอุ้มสถาบันการเงิน ล้มไม่เป็นท่า
ด้วยความพยายามที่จะรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับคงที่ต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้พยายามปกป้องค่าเงินบาทตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 ชนิดเทหน้าตัก โดยใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นเดิมพันเข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ/ขายเงินบาท จนสูญเสียเงินสำรองระหว่างประเทศจำนวนมหาศาล
5 สิงหาคม 2540 รัฐบาลมีมติให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าประกันเงินฝากให้กับผู้ฝากเงิน และรับประกันหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน ซึ่งต่อมามาตราการดังกล่าวได้สร้างภาระหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล
เดือนมิถุนายน และสิงหาคม 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทย สั่งยุติการดำเนินการของสถาบันการเงินที่มีปัญหาสภาพคล่องรวมทั้งสิ้น 56 แห่ง หลังจากที่ยึดปรัชญา “สถาบันการเงินล้มไม่ได้” มาได้สักระยะหนึ่ง
ท้ายที่สุด ประเทศไทยต้องขอเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) จำนวน กว่า 17.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 14 เดือนสิงหาคม 2540 ซึ่งมาพร้อมเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจมากมายในประเทศ ใต้ร่มเงาไอเอ็มเอฟ…

ครบรอบ 20 ปี “ต้มยำกุ้ง” ศก.ไทยจะซ้ำรอยหรือไม่?
ณ วินาทีนี้ หลายต่อหลายคนอาจได้เรียนรู้จากบทเรียนอันเจ็บช้ำ หลายต่อหลายคนยังทนพิษบาดแผลมาเนิ่นนานถึงสองทศวรรษ แต่หลายต่อหลายคนเฝ้ากังวลว่า ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายจะเวียนมาซ้ำรอยหรือไม่?
ผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า หากพิจารณาจากปัจจัยภายในประเทศ โดยส่วนตัวคาดว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่มีโอกาสไปซ้ำรอยเมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้งอย่างแน่นอน เนื่องจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังสามารถเดินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แจ้งให้ธนาคารพาณิชย์รักษาระดับทุนไว้ในระดับที่สูง เพราะฉะนั้น ปัจจัยภายในประเทศจึงไม่ใช่องค์ประกอบที่จะไปทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนเมื่อครั้งปี 2540
“สิ่งที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง น่าจะมาจากปัจจัยภายนอกเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งนโยบายที่สร้างความกดดันให้แก่เศรษฐกิจของไทยก็คือ นโยบายบีบการค้าของจีน และบีบให้จีนไม่ลดค่าเงิน ซึ่งจุดดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทย เพราะถ้าจีนขายสินค้าไปที่สหรัฐฯ ได้น้อยลง กำลังซื้อที่จีนจะเข้ามาซื้อในประเทศไทยก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิเคราะห์ภาพใหญ่

“ปัจจัยที่อาจจะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างฉับพลันก็คือ เรื่องของการเมืองระหว่างประเทศ เพราะถ้าสหรัฐฯ เข้าไปกดดันจีนในสถานการณ์ทะเลจีนใต้ จนไปก่อให้เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างฉับพลัน หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น มันก็จะต้องไปกระทบตลาดเงิน และตลาดทุนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ ณ วินาทีนี้ ยังไม่มีอะไรที่ส่อเค้าว่าจะบานปลาย หรือเกิดความรุนแรงใดๆ” นายธีระชัย กล่าวแกมเตือนไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนก
โดย นายธีระชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แนะนำวิธีการดำเนินชีวิตภายใต้สภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ว่า สำหรับนักธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมนั้น ต้องระมัดระวังในเรื่องของการบริการเงินสดหมุนเวียน เพื่อในอนาคตคุณจะได้มีเงินสำรองเก็บเอาไว้ในมือมากพอสมควร เพราะคุณไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า สภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ การเจรจาชำระหนี้ระหว่างคุณกับธนาคารอาจไม่ราบรื่น, การเรียกเก็บเงินจากลูกหนี้ของคุณอาจประสบปัญหา หรือแม้กระทั่ง เจ้าหนี้ หรือสถาบันการเงินต่างๆ อาจเข้ามาเร่งรัดให้คุณต้องชำระหนี้เร็วกว่ากำหนด
ขณะที่ การดำเนินชีวิตของชาวบ้านทั่วไปภายใต้เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มองว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาหนี้ครัวเรือนขยายตัวขึ้นอย่างมากเกินควร มิหนำซ้ำ ปัญหาดังกล่าวยังไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลาย ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อจากภาคครัวเรือนอยู่ในสภาวะที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ภาคครัวเรือนควรวางแผนการใช้จ่ายให้รัดกุมที่สุด และระมัดระวังในเรื่องของการก่อหนี้เพิ่ม

ขณะที่ ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ปัญหาวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะเช่นเดียวกับปี 2540 นั้น จะไม่ย้อนกลับมาซ้ำรอยกับประเทศไทยอย่างน้อยในระยะ 10 ปีข้างหน้า แต่หากจะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจะเป็นวิกฤติฐานะทางการคลังและวิกฤติเศรษฐกิจ อันเกิดจากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากกว่า โดยผู้ได้รับผลกระทบ คือ ผู้มีรายได้น้อย ไม่ใช่นักธุรกิจหรือนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยไม่มีความเสี่ยงที่จะมีวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือภาวะฟองสบู่แตก
หากจะเกิดขึ้น น่าจะเป็นวิกฤติฐานะทางการคลังมากกว่า หรือเศรษฐกิจเติบโตต่ำมาก จากความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ 3-5 ปี หากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ต้องกู้เงินจำนวนมาก ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจเติบโตสูงขึ้นได้ ไม่สามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นความเสี่ยง คือ การไม่สามารถกลับคืนสู่ประชาธิปไตยและระบบรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างมีเสถียรภาพได้, แรงกดดันจากสังคมผู้สูงอายูเพิ่มมากขึ้น, ระบบการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ และระบบการวิจัยที่อ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกควรจับตาลัทธิกีดกันทางการค้าที่เพิ่มมากขึ้น ผลกระทบของ Brexit และ นโยบายเศรษฐกิจ America First ของรัฐบาลทรัมป์ เศรษฐกิจหลังยุค QE ซึ่งทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวสูงขึ้น จนทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งอาจมีแรงกดดันเงินเฟ้อมากขึ้น SME ควรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน แสวงหาตลาดใหม่ๆ สร้างเครือข่ายในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ลงทุนทางด้านงานวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรม แสวงหาโอกาสในการลงทุนแต่ต้องรู้จักประมาณไม่ลงทุนเกินตัว เตรียมรับมือกับต้นทุน การกู้ยืมระยะยาวที่เพิ่มสูงขึ้น และความผันผวนของเงินบาท
จดจำไว้ เพื่อใช้เป็นบทเรียน
“วิกฤติต้มยำกุ้ง”