ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05126011159&srcday=2016-11-01&search=no
| วันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ปีที่ 29 ฉบับที่ 634 |
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
รศ.ดร.บุญยงค์ เกศเทศ
“โจ๊ะมาโลลือหล่า” ของคนปกากะญอ บ้านสบลาน
หมู่บ้านสบลาน ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีภูเขาล้อมรอบหลายเทือก เช่น ดอยกะจื่อโจ๊ะ ผาลาย ม่อนดอก สามม่วง ป่าช้าลัวะ ห้วยหมี ห้วยโป่ง สันโป่ง สามธง ผาแดง สันซาง ผาหลวง สันก๋อย ผาผึ้ง ดอยสาม เป็นต้น กำเนิดของลำห้วยน้อยใหญ่หลายสาย แต่ละสายต่างไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำ 3 สาย แม่น้ำลานเงิน แม่ลานคำ และแม่ลานหลวง ทั้ง 3 สาย ไหลหลั่งพรั่งพรูมารวมกันเป็นแม่น้ำขาน แล้วไหลลงสู่แม่น้ำปิง
โดยเฉพาะแม่น้ำลานหลวงและแม่น้ำลานคำ ไหลมาจากพื้นที่ดอยสูง เหนือหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของ “ศูนย์โจ๊ะมาโลลือหล่า” หรือ “โรงเรียนวิถีชีวิตของชุมชน” ถัดจากหมู่บ้านเป็นนาข้าว ไร่หมุนเวียน ป่าใช้สอย ป่าความเชื่อ ป่าอนุรักษ์ ลำดับมาเป็นชั้นๆ
บ้านสบลาน อยู่ห่างจากเทศบาลตำบลสะเมิงใต้ เพียง 14 กิโลเมตร ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประปาภูเขา ใช้น้ำฝนและน้ำบ่อในการบริโภค ถนนส่วนใหญ่เป็นลูกรัง สลับคอนกรีตบางช่วง ชาวบ้านเดินเท้าและรถจักรยานยนต์ หากมีคนเจ็บป่วยชาวบ้านจะรักษาด้วยสมุนไพรและคาถาอาคมทางไสยเวทย์ ยกเว้นอาการไม่ดีขึ้นจึงส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลสะเมิง
ย้อนหลังไปราวสัก 200 ปี บริเวณนี้เคยเป็นถิ่นอาศัยของชาวละว้า จากหลักฐานซากวัดเก่าที่มีอยู่ สันนิษฐานกันว่า ผู้คนย้ายหนีเพราะเกิดโรคระบาด ต่อมาราวปี พ.ศ. 2400 ครอบครัวกลุ่มชาติพันธุ์ปกากะญอ จากบ้านห้วยหยวก ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานพร้อมกับตั้งชื่อบ้านว่า “สบลาน” เนื่องมาจากการที่แม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำลานหลวงและแม่น้ำลานคำ ไหลมา “สบ” หรือบรรจบกันบริเวณนี้
บ้านสบลาน เป็นต้นแบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งลุ่มน้ำ สามารถนำคุณค่าธรรมชาติ เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตได้อย่างสอดคล้อง ทั้งความเชื่อ พิธีกรรม/ประเพณี การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันทั้งชุมชน เพื่อการอยู่รอดอย่างยั่งยืน ใช้โครงสร้างทางสังคม ความเชื่อที่เคารพธรรมชาติ ผ่านสำนึก เคารพและเกรงกลัวต่ออำนาจธรรมชาติที่เรียกว่า “ผี” มีคำสอนที่เป็นชุดความรู้พื้นถิ่นของชาติพันธุ์ปกากะญอที่สืบสานส่งทอดกันมากกว่า 700 ปี ทั้งในรูป “นิทาน” และ “ทา” หรือ “ลำนำของชนเผ่า” มีการจัดทรัพยากรธรรมชาติโดยการทำไร่หมุนเวียน ซึ่งเป็นการจัดการ ดิน น้ำ ป่า สัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพ และการอนุรักษ์ควบคู่การใช้ทรัพยากรเหล่านั้นอย่างยั่งยืน
ในพื้นที่ป่าของชุมชนบ้านสบลานจำนวนราว 10,000 ไร่ นั้นพบว่า ประมาณ 50% จัดแบ่งเป็นพื้นที่ความเชื่อของผู้คนปกากะญอออกเป็นหลายป่า ทั้งป่าผีบรรพชน ป่าช้าผู้ใหญ่ ป่าสะดือ ป่าช้าเด็ก รวมไปถึงป่าอนุรักษ์ถาวรที่ห้ามใครรบกวน และป่าอนุรักษ์ที่ให้ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเสรี
สำหรับการเพาะปลูกในระบบไร่หมุนเวียนของปกากะญอ บ้านสบลานนั้น ใช้พื้นที่เพาะปลูกในช่วงระยะหนึ่ง จากนั้นจะย้ายไปพื้นที่ใหม่ เพื่อปล่อยให้ดินคืนความสมบูรณ์ โดยทิ้งระยะพักฟื้นราว 7 ปี ไร่ที่รอการฟื้นตัวเรียกว่า “ไร่เหล่า” ระหว่างรอจะหมุนเวียนไปใช้พื้นที่แปลงอื่นเพาะปลูก เมื่อครบ 7 ปี จึงหมุนเวียนกลับคืนมาใช้เพาะปลูกอีกครั้ง วิธีนี้ช่วยรักษาความหลากหลายของระบบนิเวศคืนสู่สภาพเดิม ต้นไม้จะเติบโตในช่วงเวลาที่เป็นไร่เหล่า กลายเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่
อย่างไรก็ดี พื้นที่ไร่หมุนเวียนดั้งเดิมนี้จะตกทอดจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูกหลาน หากต้องการทำไร่หมุนเวียนในพื้นที่ใหม่จะต้องได้รับการยินยอมจากชุมชนและทำตามกฎข้อห้ามในการเลือกพื้นที่ ถือเป็นอุบายอันแยบยล เช่น ห้ามเลือกพื้นที่ที่มีน้ำขัง เพราะเชื่อว่าเป็นการลบหลู่ผีน้ำ ห้ามเลือกพื้นที่กิ่วดอย เพราะเชื่อว่าเป็นทางเดินของผี เป็นที่อัปมงคล หากฝืนทำจะได้ผลผลิตน้อย เป็นต้น
นอกจากทำไร่หมุนเวียนแล้ว ชาวปกากะญอยังให้ความสำคัญกับการทำนา พื้นที่นาในบ้านสบลานจัดโซนอยู่รอบหมู่บ้าน อาศัยเหมืองฝายนำน้ำเข้านา เป็นระบบธรรมชาติที่ใช้วิธีขุดร่องน้ำลัดเลาะตามชายเขา ผันน้ำจากลำห้วยเข้ามายังนาข้าว ในเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะมีพิธีเลี้ยงผีฝายเพื่อให้มีน้ำอุดมสมบูรณ์
พะตีต๋าแยะ ผู้นำปกากะญอ บ้านสบลาน เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ มองว่าถ้าให้เด็กออกไปเรียนข้างนอกทั้งหมด “ป่าไม่อยู่แน่” จึงสร้างโรงเรียน “โจ๊ะมาโลลือหล่า” หมายถึง โรงเรียนแห่งวิถีชีวิต สอนให้เด็กรักท้องถิ่น เพื่อต้องการให้ผืนป่าคงอยู่
อาจกล่าวได้ว่า การจัดการทรัพยากรธรรมชาติโดยใช้วิถีวัฒนธรรมมาเป็นต้นแบบสอดคล้องกับการดำรงชีพ ส่งผลให้ผู้คนกินดีอยู่ดี เด็กๆ ต่างก็เล่าเรียนในโรงเรียนที่สร้างสำนึกรักท้องถิ่น เป็นที่หวังได้ว่าป่าและสายน้ำในพื้นที่บ้านสบลาน คงอยู่รอดปลอดภัยแน่