‘เผาป่า’ปลูกข้าวโพด ‘หมอกควัน’อย่าโทษกันไปมา!!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/260197

วันอังคาร ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ดูจะกลายเป็น “เทศกาลประจำปี” ของภาคเหนือในช่วงเดือน “มีนาคม-เมษายน” ไปเสียแล้วกับ “หมอกควัน-ไฟป่า” ที่เกิดจากการ“เผา” เพื่อเตรียมพื้นที่ “ปลูกพืชไร่” โดยเฉพาะ“ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ดังที่เคยเป็นข่าวเมื่อปี 2559 กับกรณี “เขาหัวโล้น จ.น่าน” ที่บรรดาคนดังในวงการต่างๆ พากันเข้าไป “ปลูกป่า” หวังให้กลับมา..

อุดมสมบูรณ์!!!

วิกฤติไฟป่าและหมอกควัน ยังกลายเป็น“เรื่องใหญ่” ระดับประชาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) โดยเมื่อปลายเดือนก.พ. 2560ที่ผ่านมา มีการประชุมร่วม 5 ชาติ เมียนมา ลาว เวียดนาม กัมพูชา และไทย ที่ จ.เชียงราย หวัง “ยุติ” วิกฤติหมอกควันในพื้นที่อาเซียนบริเวณลุ่มน้ำโขง ซึ่งพล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยถึงผลการประชุมครั้งนี้ว่า

สำหรับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย ลาว เมียนมา กัมพูชาและเวียดนาม ก่อนหน้านี้ได้มีข้อตกลงร่วมกันแล้วว่าจะให้มีจุดความร้อน (Hot spot) ไม่เกิน 50,000 จุด ซึ่งแต่ละประเทศจะต้องมีมาตรการภายในของตนเอง เพื่อควบคุมการเผาไหม้ไม่ให้เกินค่ามาตรฐานที่ตนเองกำหนดไว้ ก็จะทำให้หมอกควันข้ามแดนไม่ไปกระทบประเทศอื่น และช่วยให้ปัญหามลพิษหมอกควันของอาเซียน..

ลดลงได้ตามเป้าหมาย!!!

แต่เมื่อพลัน “สิ้นหน้าหนาวเข้าหน้าร้อน” เปลวไฟและกลุ่มควันก็กลับมาปกคลุมเช่นเดิมดังเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2560 นายฉัตรชัยพรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า 9 จังหวัดภาคเหนือประกอบด้วย เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก มีปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 70-160 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) มีค่าระหว่าง 69-118 และเมื่อดูเป็นรายพื้นที่พบว่าเชียงรายกับลำปางนั้น “น่าห่วง” จากปริมาณฝุ่นที่..

เกินค่ามาตรฐาน!!!

ขณะเดียวกัน..หลายจังหวัดทางภาคเหนือยังเป็น “แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ” ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่หลายคนมัก “ขึ้นดอยรับลมหนาว” ไปจนถึงเทศกาลสงกรานต์ “รอบคูเมืองเชียงใหม่” พื้นที่ยอดนิยมของการเล่นสาดน้ำ นอกจากนี้ จ.เชียงใหม่ ยังเพิ่งถูกจัดอันดับให้เป็น “เมืองน่าเที่ยวอันดับ 2 ของโลก” จากนิตยสาร Traveland Leisure ของสหรัฐอเมริกา แน่นอนว่าภาพของหมอกควันจากไฟป่าก็เป็นภาพหนึ่งที่นักท่องเที่ยว “คุ้นเคย” อยู่ทุกปี

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและพยากรณ์ทางการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (แม่โจ้โพลล์) จึงสำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ “ศูนย์กลางของภาคเหนือ” ระหว่างวันที่ 20 ก.พ.-5 มี.ค. 2560 จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1,015 คน ในหัวข้อ “ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่อมาตรการลดปัญหาหมอกควันเชียงใหม่’60” พบว่า…

1.นักท่องเที่ยว “กังวล” กับปัญหาหมอกควัน กลุ่มตัวอย่างถึง ร้อยละ 95.37 ระบุว่า สถานการณ์หมอกควันที่ปกคลุมพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 42.56 ตอบว่า มีผลมากที่สุด ร้อยละ 31.21 ตอบว่า มีผลมาก และร้อยละ 15.90 ตอบว่า มีผลปานกลาง

2.หมอกควัน “กระทบ” กับวิถีชีวิต กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 55.49 ตอบว่า ส่งผลต่อสุขภาพของผู้คน และร้อยละ 38.28 ตอบว่าส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยว 3.การเกษตรและหาของป่า ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญของการจุดไฟเผาป่าในมุมมองของนักท่องเที่ยว โดยร้อยละ41.98 ตอบว่า หมอกควันมาจากการเผาป่าทำการเกษตร และ ร้อยละ 35.05 ตอบว่า มาจากการเผาเพื่อหาของป่า

อย่างไรก็ตาม..นักท่องเที่ยวใน จ.เชียงใหม่ยังเชื่อมั่นในนโยบายรัฐ โดยเฉพาะโครงการ “60 วัน!ห้ามเผา..เราทำได้” ระหว่าง 20 ก.พ.-20 เม.ย. 2560 โดยกลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 61.28 มองว่าโครงการนี้น่าจะลดปัญหาหมอกควันได้บ้าง หากทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกัน และร้อยละ 67.74 เสนอแนะว่า การจะแก้ไขปัญหาหมอกควันได้ ต้องรณรงค์ให้ความรู้ถึงโทษภัยของการเผาป่า..

อย่างต่อเนื่อง!!!

เมื่อพูดถึงการเผาป่า บ่อยครั้งที่สังคมโดยเฉพาะ “คนในเมือง” มักกล่าวประณามว่าเพราะ “เกษตรกรเห็นแก่เศษเงิน” แต่มักลืมไปว่า “นโยบายรัฐ” ที่เอื้อประโยชน์แก่ “กลุ่มทุน” คือต้นเหตุของปัญหา ดังที่ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ บรรณาธิการนิตยสารสารคดี เขียนบทความ “ข้าวโพด สาเหตุแห่งการทำลายป่า น้ำแล้งและหมอกควันพิษ” อ้างถึงปี 2549 ที่คณะรัฐมนตรีขณะนั้น มีมติให้ดำเนินงาน..

Contract Farming!!!

ส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ 8 ชนิด บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ไทย-ลาว และไทย-กัมพูชา ในจำนวนนี้ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” เป็นพืชที่นิยมปลูกมากที่สุด เกิดการเผาป่าขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นปัญหาทั้งไฟป่า หมอกควัน และความแห้งแล้ง “เรื้อรัง” มาถึงปัจจุบัน

“คนในวงการทราบดีว่า ผู้ได้ผลประโยชน์สูงสุดคือบริษัทด้านการเกษตรกรรมภาพถ่ายดาวเทียมที่แสดงให้เห็นถึงจุดที่เกิดไฟ ตามบริเวณประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก ก็สันนิษฐานได้เลยว่า ปัญหาหมอกควันพิษเช่นเดียวกับบ้านเราคือการเผาป่า เผาซากไร่ข้าวโพดในอนาคตการทำลายป่าต้นน้ำเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพด จะทำให้แม่น้ำปิง วัง ยม น่านขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง” วันชัย กล่าวในบทความ

เช่นเดียวกับที่ พฤ โอโดเชา ผู้ประสานงานเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) เคยกล่าวกับ “แนวหน้า” ว่า แม้แต่คนที่อยู่ในเมืองเองก็ต้อง “ร่วมรับผิดชอบ” กับวิกฤตินี้ด้วย เพราะ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกนั้นถูกนำไปใช้เลี้ยงปศุสัตว์ เพื่อนำเนื้อสัตว์นั้นไปทำอาหารเลี้ยงคนอีกทอดหนึ่ง” ฉะนั้นคนในเมืองก็ต้องแสดงท่าทีให้ชัดเจน “ไม่เอาสินค้าทำลายสิ่งแวดล้อม” หากทำได้ นายทุนผู้ผลิตและผู้ที่รับจ้างนายทุนผลิต ก็จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตไปโดยปริยาย ดีกว่าจะ…

โทษกันไปมา!!!

Leave a comment