ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 พ.ค. 2560 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/933833

แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจกระจายลงไปทุกพื้นที่หรือไม่นั้นยังเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายตั้งคำถามอยู่ อานิสงส์ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเหล่านี้ยังลงไปไม่ถึงประชาชนในต่างจังหวัดและโดยเฉพาะเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังคงมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ผู้คนส่วนใหญ่ยังคง “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” อยู่เช่นเดิม
ตัวเลขการลงทะเบียนคนจนที่กระทรวงการคลังเปิดเผยออกมาล่าสุดในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีถึง 10 ล้านคน และคาดว่าเมื่อสิ้นสุดการลงทะเบียนคนจนในวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 นี้น่าจะสูงถึง 14-15 ล้านคนนั้น เป็นคำตอบที่ดีว่าวิถีชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเป็นอยู่กันอย่างไร?
นอกเหนือจากมาตรการช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย หรือ “ประชาชนฐานราก” ที่กระทรวงการคลังเตรียมจัดแพ็กเกจใหญ่ที่จะดีเดย์ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560 นี้ ล่าสุดหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ “นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ก็เพิ่งประชุมคณะทำงานประชารัฐด้านส่งเสริมเอสเอ็มอี สตาร์ตอัพและโซเชียล เอ็นเตอร์ไพร์ส ทำคลอดมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรายย่อยและผู้คนระดับฐานรากให้มีรายได้เสริม โดยดึงเอกชนรายใหญ่ที่มีศักยภาพเข้ามาอบรมให้ความรู้ ส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชนฐานรากเพื่อสร้างอาชีพเสริมให้แก่ชุมชน
ขณะเดียวกันรัฐบาลยังจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบฯ 2560 เพิ่มเติมวงเงินกว่า 19,924 ล้านบาท กระจายลงไปยังหน่วยงานต่างๆ ให้จัดทำโครงการเพิ่มเงิน เพิ่มรายได้ให้ประชาชนกลุ่มนี้ โดย 1 ในหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบจำนวน 4,511 ล้านบาทมาด้วยคือ “กระทรวงพาณิชย์” เพื่อมาดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน โดยเฉพาะการสนับสนุนและส่งเสริม “ร้านค้าประชารัฐ” และ “ตลาดสินค้าเกษตรรูปแบบต่างๆ”

ท่ามกลางความกังวลของหลายฝ่าย มันคือการปลุกชีพ “ร้านค้าปลีกเข้มแข็ง” ในอดีตที่เคยล้มเหลวมาแล้วหรือไม่? หรือเป็นการพลิกโฉมหน้าใหม่ของค้าปลีกชุมชนที่จะต่อกรกับโมเดิร์นเทรดทั้งหลายแหล่
“ทีมเศรษฐกิจ” จึงสัมภาษณ์พิเศษ “นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมช.พาณิชย์ หัวหอกสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องนี้ถึงการขับเคลื่อนนโยบายสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนและชุมชนฐานรากในครั้งนี้ ดังนี้ :
***********
ทุ่ม 4.5 พันล้านกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน
นายสนธิรัตน์ กล่าวกับ “ทีมเศรษฐกิจ” ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้รับนโยบายจากนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ให้เป็นหนึ่งในหน่วยงานภาครัฐที่จะร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพราะกระทรวงพาณิชย์อยู่ใกล้ชิดประชาชนและเกษตรกรอยู่แล้ว
โดย 1 ในหลายๆนโยบายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากคือ การทำตลาดชุมชนประเภทต่างๆให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและต้องเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวด้วย เพราะลำพังกำลังซื้อของคนในชุมชนไม่เพียงพอที่จะทำให้รายได้ของพ่อค้า แม่ค้าในชุมชนดีขึ้น ต้องมีกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยผลักดันด้วยจึงจะประสบผล เพราะเมื่อตลาดเหล่านี้ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยว นั่นหมายถึงรายได้ของพ่อค้า แม่ค้าที่เป็นคนในชุมชนและเกษตรกรในพื้นที่จะดีขึ้นจากการขายสินค้าและผลผลิตในตลาด ส่งผลให้เศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็งขึ้น และท้ายที่สุดจะสะท้อนกลับมาที่เศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม

ทั้งนี้ งบกลางที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับจัดสรรจำนวน 4,511 ล้านบาทนั้น กว่า 3,000 ล้านจะนำมาใช้จัดทำโครงการส่งเสริมตลาดกลาง-ตลาดชุมชนประชารัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค (Local Economy Market) โครงการพัฒนาร้านค้าต้นแบบผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และโครงการเสริมสร้างศักยภาพร้านค้าชุมชนไทย
โดยตลาดที่ต้องผลักดันให้สำเร็จดังกล่าวประกอบด้วย ตลาดต้องชม ตลาดชุมชนประชารัฐ ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ตลาดสินค้าเฉพาะ (Magnet Market) และตลาดกลางสินค้าเกษตร โดยในส่วนของ “ตลาดต้องชม” นั้น กระทรวงพาณิชย์เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2559 แล้ว
“คอนเซปต์ในการดำเนินการคือ พัฒนาตลาดท้องถิ่นให้เป็นตลาดที่มีความทันสมัย ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย มีการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม มีการจัดวางหน้าร้านที่สวยงามดึงดูดลูกค้า และเป็นแหล่งช็อปปิ้งประจำถิ่น ตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ได้ปีละ 77 แห่งทั่วประเทศ หรืออย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง โดยตลาดต้องชมเป็นโครงการต่อเนื่อง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2559-2561 มีเป้าหมายจะเปิดให้ได้ไม่ต่ำกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ”
ผุด Magnet Market ดึงดูดนักท่องเที่ยว
นอกจาก “ตลาดต้องชม” แล้ว กระทรวงพาณิชย์ยังจะผลักดัน Magnet Market หรือตลาดสินค้าเฉพาะเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง “ตลาดทุเรียน” ขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนที่นิยมบริโภคทุเรียนเป็นอย่างมากและมีกำลังซื้อสูง
“การทำ Magnet Market ต้องเป็นตลาดขายสินค้าเฉพาะที่โดดเด่น และจับตลาดนักท่องเที่ยวเลยมาลงเอยที่ทุเรียน เพราะคนจีนนิยมบริโภคมาก จึงพุ่งเป้าไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยาที่มีนักท่องเที่ยวจีนไปท่องเที่ยวปีละหลายล้านคน มีชาร์เตอร์ ไฟลท์ จากจีนไปลงโดยเฉพาะ โดยตลาดทุเรียนที่เชียงใหม่จะเปิดตัววันที่ 19 พ.ค.นี้”

ทั้งนี้เมื่อตลาดติด หรือได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแล้ว นอกจากจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแล้ว ยังจะทำให้ผลผลิตของเกษตรกรขายได้อย่างต่อเนื่อง ราคาดี ไม่มีปัญหาราคาตกต่ำ ผลผลิตมีเท่าไรกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวจีนจะดูดซับได้หมด ถือเป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้น
นอกจากนี้ จะขยายตลาด Magnet ไปยังผลไม้อื่นๆ ทั้งลำไย เงาะ มังคุด ลองกอง รวมถึงยังจะจัดทำ Magnet Market ที่เป็นอาหารทะเลด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเลือกสถานที่ที่จะจัดตั้งตลาดดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อหมดฤดูกาลผลไม้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาด เราจะใช้วิธีการแช่แข็งผลไม้เอาไว้ หรือบังคับให้ผลผลิตออกนอกฤดูกาลเพื่อให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดเหล่านี้ได้ตลอดทั้งปี และไม่เพียงแต่จะขายผลไม้สดเท่านั้น ยังจะขยายไปสู่ผลไม้แปรรูปด้วย “การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้เกษตรกรพัฒนาตนเองจากเกษตรกร 1.0 ที่ผลิตแต่ผลไม้สดไปสู่เกษตรกร 2.0 ที่มีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างอื่นและสู่เกษตรกร 4.0 ที่นำผลไม้ไปแปรรูปเป็นยา เครื่องสำอาง หรือเวชภัณฑ์อื่นๆ”
อีกตลาดที่กระทรวงพาณิชย์ต้องการผลักดันให้สำเร็จคือ ตลาดกลางสินค้าเกษตรที่จะรวบรวมและจำหน่ายสินค้าเกษตร โดยมีทั้งในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมผลักดันเอง และที่ร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยจะใช้พื้นที่ของสำนักงาน อปท. เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นตลาดกลางสินค้าเกษตร
“คอนเซปต์ตลาดกลางคือ จะเป็นที่รวบรวมสินค้าของเกษตรกรในตำบล 2-3 วันเอามารวมขายครั้งหนึ่งให้คนในชุมชนซื้อก่อน เมื่อตลาดติดแล้วจะรวบรวมสินค้าเกษตรไปสู่ตลาดกลางสินค้าของเอกชนที่ใหญ่ขึ้นอย่างใน จ.อุดรธานี ได้หารือกับทางจังหวัดแล้วจะรวบรวมสินค้าเกษตรไปสู่ตลาดเมืองทอง จ.อุดรธานี ซึ่งจะทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชเกษตรมีตลาดรองรับ และมีรายได้สม่ำเสมอ รวมทั้งยังจะช่วยปรับวิธีคิดกระบวนการผลิตของเกษตรกรให้หันมาผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น”

ทั้งนี้ ตลาดกลางสินค้าเกษตรใดที่มีศักยภาพ กระทรวงพาณิชย์จะผลักดันให้เป็น “ตลาดกลางของภูมิภาค” หรือตลาดกลางชายแดน อย่างตลาดกลางผลไม้ที่จังหวัดจันทบุรี ที่มีผลไม้หลายชนิดและออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องจะผลักดันให้เป็นมหานครแห่งผลไม้ เป็นศูนย์กลางผลไม้แห่งเอเชียด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ
ชูโมเดล “อูเล–ร้านค้าประชารัฐ” เสริมแกร่ง!
ในส่วนของร้านค้าชุมชนนั้น รมช.พาณิชย์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยืนยันจะไม่ทอดทิ้ง แต่จะเดินหน้าผลักดันร้านค้าในท้องถิ่นที่มีอยู่แล้วให้มีความทันสมัย โดยตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้ได้เริ่มคัดเลือกร้านค้าในชุมชนจำนวน 1,000 แห่งทั่วประเทศจากที่กองทุนหมู่บ้านริเริ่มไว้ 19,000 แห่งมาจัดทำเป็น “ร้านค้าประชารัฐต้นแบบ” ส่งเสริมให้องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การทำบัญชี จัดหน้าร้านให้สวยงาม แบ่งแยกหมวดหมู่สินค้าให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ง่าย
นอกจากนี้ ยังจะนำสินค้าอุปโภคบริโภคจากโครงการธงฟ้าประชารัฐที่ขายถูกกว่าท้องตลาด 15-20% ขณะนี้มีผู้ผลิตรายใหญ่ 5 รายให้ความร่วมมือผลิตสินค้าป้อนเข้าสู่ร้านค้าประชารัฐเหล่านี้ เพื่อเป็นการลดรายจ่ายให้ประชาชน และดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาซื้อของให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อร้านค้าเหล่านี้เกิดความเข้มแข็งก็จะให้เป็นพี่เลี้ยงช่วยเหลือร้านค้าอื่นๆบริเวณใกล้เคียงให้เข้มแข็งขึ้นเช่นเดียวกัน โดยตั้งเป้าหมายจะผลักดันให้มีร้านค้าประชารัฐต้นแบบนี้ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 200-300 ร้านค้าภายในสิ้นปีนี้ ส่วนการขยายไปเป็นพี่เลี้ยงร้านค้าชุมชนอื่นๆนั้น ร้านต้นแบบ 1 แห่ง อาจจะดูแลร้านค้าในเครืออีก 10 แห่ง ซึ่งจะทำให้มีกองทัพมดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากได้จำนวนมาก
“นอกจากนี้ยังจะเชื่อมโยงนำสินค้าท้องถิ่นอื่นๆ เข้ามาขายภายในร้านด้วย เช่น ร้านค้าในภาคเหนืออาจเอาสินค้าจากภาคอีสานที่หายากมาขาย โดยอาศัยระบบโลจิสติกส์ของผู้ผลิตสินค้าทั้ง 5 รายที่กระจายสินค้ามาให้อยู่แล้ว กลไกนี้เป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้ร้านค้าประชารัฐและในอนาคตอาจขยายรูปแบบร้านค้าประชารัฐเหล่านี้ให้เป็นกึ่งสหกรณ์ ที่มีการสะสมบัตรคะแนนอีกด้วย ที่สำคัญตลาดทั้งหมดที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการในที่สุดแล้วจะต้องเดินไปสู่การเป็นตลาดที่ซื้อขายผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้เข้าสู่ผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นหลากหลายขึ้น”

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะนำสินค้าธงฟ้าประชารัฐกระจายผ่านร้านค้าปลีกดั้งเดิม (โชห่วย) กว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศด้วย เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นห่างไกลสามารถซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้ในราคาถูก ถือเป็นการลดภาระค่าครองชีพได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับร้านโชห่วย ที่ไม่ใช่เพียงแค่การอบรมให้ความรู้เหมือนเดิม แต่มีแผนจะทำให้โชห่วยไทยเป็นเหมือน “อูเล” ร้านโชห่วยขายสินค้าออนไลน์ของจีน ซึ่งเป็นบริษัทลูกของมหาเศรษฐี “ลีกาชิง” ของฮ่องกง โดยจะมี “แพลตฟอร์ม” การค้าอีคอมเมิร์ซ สำหรับร้านโชห่วยทั่วประเทศ มีการเชื่อมโยงข้อมูลทุกร้านแบบเรียลไทม์ ช่วยให้โชห่วยขายสินค้าผ่านออนไลน์ได้
“การซื้อสินค้าผ่านร้านอูเล ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าที่มีอยู่ในร้าน จะซื้อสินค้าอะไรก็ได้ที่ร้านทำการสแกนบาร์โค้ดไว้แล้ว พอลูกค้าไปสั่งซื้อระบบจะส่งคำสั่งซื้อไปยังผู้ผลิตแล้วจัดส่งทางไปรษณีย์มาให้ หากสามารถพัฒนาโชห่วยไทยให้เหมือนอูเลได้ ต่อไปโชห่วยไทยไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าเท่ากับเราจะมีเอาต์เลตแบบนี้ 300,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ฐานรากเข้มแข็ง โชห่วยที่อยู่คู่สังคมไทยมานานจะกลับมาเป็นบนมิติของการพัฒนาแบบใหม่ ซึ่งเป็นความท้าทายของปีนี้ที่จะต้องผลักดันให้เกิดขึ้นให้ได้”
***********
“รัฐบาลอยากเห็นเศรษฐกิจฐานรากดีขึ้นใจจะขาด ทุกคนเป็นห่วง นายกรัฐมนตรีก็เป็นห่วง รัฐจึงพยายามทำทุกอย่างให้ถึงพี่น้องข้างล่าง การปรับโครงสร้างลงทุนเป็นการลากหัวเศรษฐกิจให้ขึ้นมาแต่ไม่ใช่เอาใจแต่คนข้างบนต้องดันข้างล่างขึ้นมาให้ได้ด้วย ต้องไปด้วยกันพร้อมๆกันแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น” รมช.พาณิชย์กล่าวทิ้งท้าย.
ทีมเศรษฐกิจ