กม.อาญานักการเมืองไม่ได้เล็ง“ทักษิณ”คนเดียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/politic/287578

กม.อาญานักการเมืองไม่ได้เล็ง“ทักษิณ”คนเดียว

“วิรัตน์”ชี้กม.อาญานักการเมืองไม่ได้เล็งเป้าที่“ทักษิณ”คนเดียว “องอาจ”ระบุถ้าไม่พิจารณาลับหลัง ก็เอาผิดนักการเมืองหลบหนีไม่ได้สักที

         14 ก.ค.60 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า คิดว่าการพิจารณาคดีความอาญาโดยทั่วไป ก็ต้องพิจารณาต่อหน้าจำเลย เพื่อให้จำเลยต่อสู้คดีอย่างชอบธรรม สำหรับการดำเนินคดีทางการเมืองที่ผ่านมา โดยเฉพาะการดำเนินการเกี่ยวกับการทุจริตของนักการเมือง ด้วยการพิจารณาเหมือนคดีอาญาโดยทั่วไป มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการที่จะเอานักการเมืองมาลงโทษ ด้วยเหตุนี้ในช่วงที่ผ่านมาจึงได้ตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขึ้นมา ทำให้การดำเนินประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ยังมีนักการเมืองบางส่วน ไม่เฉพาะนายทักษิณ ที่ยังหลบหนีคดีความต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถเอาผิดกับคนเหล่านี้ได้ เพราะคดีนักการเมืองส่วนมากเป็นคดีที่ได้มีการเตรียมการ และวางแผนที่จะกระทำความผิด ซึ่งการวางแผนต่าง ๆ ก็พร้อมที่ทำตัวเองให้พ้นผิดด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล นักการเมืองที่มีความผิดแล้วหลบหนีไม่ยอมมาต่อสู้คดีในศาลด้วยตัวเอง ก็ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในอดีต ใช้อำนาจเงินหลบคดีไปจนกว่าจะหมดอายุความ

นายองอาจ กล่าวต่อไปว่า ถ้าเราใช้กฎหมายอาญาปกติโดยทั่วไป คงไม่สามารถเอาผิดนักการเมืองที่มีอิทธิพลเหล่านี้ได้ การออกกฎหมายเพื่อจะพิจารณาคดี ทุจริตหรือคดีความต่าง ๆ ของนักการเมืองที่มีอิทธิพลลับหลัง จึงไม่ได้เป็นการละเมิดสิทธิ์ หรือผิดหลักสากลแต่อย่างใด เพราะจำเลยสามารถแต่งตั้งทนายความมารักษาสิทธิของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพราะถ้าเราไม่แก้ไขให้สามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ ก็คงเป็นการยากที่จะเอาผิดนักการเมืองที่มีอิทธิพลทั้งหลายได้ ดังนั้นการดำเนินการอย่างนี้จะทำให้นักการเมืองที่คิดทุจริตคงต้องไตร่ตรองมากขึ้น คงไม่สามารถใช้เงินใช้ทองจากการทุจริต แล้วหลบหนี้ไปใช้ชีวิตเสวยสุขได้อีกต่อไป เพราะถึงแม้จะหลบหนีไปคดีของตัวเองก็ยังถูกพิจารณาต่อไปได้

“นอกเหนือจากเอาผิดนักการเมืองแล้ว ถ้าเป็นไปได้เรื่องคดีเกี่ยวกับการทุจริตอยากให้ครอบคลุมถึงข้าราชการที่มีส่วนกระทำการทุจริตแล้วหลบหนีไป ให้ถูกพิจารณาคดีความเหมือนกับนักการเมือง ที่สามารถพิจารณาคดีลับหลังได้ เพราะตอนหลังมักจะเห็นว่ามีข้าราชการจำนวนมาก ที่ทุจริตและใช้วิธีการหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ จนไม่สามรถพิจารณาคดีได้  ซึ่งในร่างพ.ร.บ.นี้หากใครเห็นว่ามีอะไรที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญก็อาจดำเนินการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ แต่ส่วนตัวตนเห็นว่าไม่น่ามีอะไรที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”นายองอาจกล่าว

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ผ่านร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ… ที่ให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะสามารถฟื้นคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจำหน่ายคดี เนื่องจากจำเลยหนีคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ใช้เฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคนไม่ว่าจะชื่ออะไร ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องชื่อนั้นชื่อนี้และไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป เป็นเรื่องการทุจริตหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปยังใช้กฎหมายทั่วไปอยู่  ทั้งนี้การเรียกร้องให้คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่มีอายุความคือหลบหนีก็ไม่มีผล พิพากษาแล้วหลบหนี จับได้เมื่อไหร่ก็ยังมีผลทันทีคือไม่ขาดอายุความ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองเรียกร้องมาหลายปีแล้ว

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยนั้นปกติก็ใช้สำหรับคดีอาญาทั่วไปที่โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เป็นเรื่องที่ศาลอนุญาตให้พิจารณาลับหลังได้อยู่แล้ว แต่กระบวนการก่อนที่จะถึงจุดนี้คือจะต้องผ่านการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ เช่น ปปท. ป.ป.ช.และสตง.หากองค์กรเหล่านี้เห็นว่ามีมูลก็จะส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุด (อสส.) ให้กลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง และถ้าหากอสส.เห็นว่าไม่ควรฟ้องเรื่องก็จบแต่หากเห็นว่าควรฟ้องก็ส่งเรื่องมายังศาลและเมื่อเรื่องถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ศาลประทับรับฟ้องแล้วก็เปิดโอกาสให้จำเลยได้มอบตัวภายใน 3 เดือน หากไม่มอบตัวในระยะเวลา 3 เดือน ศาลจึงจะมีอำนาจพิจารณาลับหลัง

“เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของจำเลย และเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ก็ให้จำเลยสามารถแต่งตั้งทนายความเข้ามาทำหน้าที่ซักค้านแทนจำเลยได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทุกกรณี ไม่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งจะอุทธรณ์ได้เฉพาะมีข้อเท็จจริงใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นนักการเมืองทุกคนจึงต้องสำเหนียกว่าต้องไม่กระทำผิด ต้องไม่ทุจริต ต้องไม่คอร์รัปชั่น เพราะหากทุจริตหรือคอร์รัปชั่นแล้วเพื่อรักษาสิทธิของตนก็ต้องอยู่สู้คดีอย่าหลบหนีคดี”นายวิรัตน์ กล่าว

Leave a comment