หลังจากเจรจาไกล่เกลี่ยหลายเดือนระหว่างธนาคารคอมมอนเวลท์ (ซีบีเอ)  กับออสแทรก (AUSTRAC) สำนักงานข่าวกรองทางการเงิน ในที่สุด สถาบันการเงินรายใหญ่สุดของออสเตรเลีย ตกลงที่จะจ่ายค่าปรับเป็นเงิน 700 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ( ราว 1.7 หมื่นล้านบาท )

ออสแทรกยื่นฟ้องธนาคารคอมมอนเวลท์ เมื่อสิงหาคม ฐานละเมิดกฎหมายปราบปรามการฟอกเงินอย่างร้ายแรงและอย่างเป็นระบบ กว่า 5.3 หมื่นครั้ง และฟ้องในเดือนธันวาคมว่าละเมิดกฎหมายเพิ่มอีก 100 ครั้ง กับความผิดฐานที่ไม่ได้สอดส่องผู้ให้การสนับสนุนผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายมากเพียงพอ

กรณีธนาคารคอมมอนเวลท์ เป็นเรื่องอื้อฉาวล่าสุดเขย่าระบบธนาคารออสเตรเลีย ท่ามกลางข้อกล่าวหาหลบเลี่ยงคำแนะนำทางการเงิน ฉ้อฉลด้านประกันชีวิตและจำนอง กับฮั้วกำหนดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

ซีบีเอ ยอมรับเมื่อปีที่แล้วว่า แจ้งการทำธุรกรรมที่ตู้เอทีเอ็มในวงเงินตั้งแต่ 1 หมื่นดอลลาร์ออสเตรเลียขึ้นไป แก่ออสแทรกล่าช้า จำนวน 53,506 กรณี ( ธนาคารในออสเตรเลียจ้องแจ้งภายใน 10 วันทำการ เพื่อให้ออสแทรกจะได้ติดตามต่อว่าเงินเหล่านั้นไปไหน) แต่ธนาคารอ้างว่าเป็นความผิดพลาดทางระบบ นอกจากนี้ ธนาคารยังไม่ได้รายงานทางการว่ ามีธุรกรรมต้องสงสัย 149 ครั้ง และละเลยการติดตามตรวจสอบลูกค้าน่าสงสัย 80 ราย

ในเอกสารความยาว 583 หน้า มีข้อหาอื่นๆ อาทิ ผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรม ใช้ชื่อและบัตรประจำตัวปลอม ไปฝากเงินที่ธนาคารหลายบัญชี

ออสแทรก ระบุว่า การละเลยหลักปฏิบัติของซีบีเอ ส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวออสเตรเลีย และทำให้ชุมชนตกอยู่ในความเสี่ยงด้วยการเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มก่อการร้ายสนับสนุนการโจมตีทั้งในและต่างประเทศได้ และเพิ่มศักยภาพให้กับกลุ่มอาชญากรรม ขายยาเสพติดแก่ครอบครัวและเพื่อนของเรา

  ( แมตต์ โคมิน ซีอีโอธนาคารคอมมอนเวลท์ / นิโคล โรส ผู้อำนวยการออสแทรก ) 

แมตต์ โคมิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ธนาคาร ระบุในแถลงการณ์ว่า แม้ไม่ได้เกิดจากเจตนา  แต่ธนาคารก็ตระหนักถึงความร้ายแรงจากความผิดพลาดที่ก่อขึ้น การทำความตกลงครั้งนี้คือ การยอมรับความล้มเหลวอย่างชัดเจน และถือเป็นก้าวสำคัญที่ธนาคารจะได้ก้าวเดินต่อไป

“ในนามของธนาคารคอมมอนเวลท์ ผมขอโทษสังคมที่ทำให้ผิดหวัง” ธนาคารยักษ์ใหญ่ออสเตรเลีย ยังตกลงจ่ายค่าดำเนินการทางกฎหมายแก่ออสแทรก 2.5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และก่อนหน้านี้ยังได้ทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อปรับปรุงระบบ

นิโคล โรส ผู้อำนวยการออสแทรก กล่าวว่า ผลเจรจาที่นำไปสู่การปรับเงินมหาศาล คือการส่งสัญญาณชัดเจนถึงอุตสาหกรรมการเงินที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายปราบปรามฟอกเงินและทุนสนับสนุนก่อการร้าย

ทั้งนี้ หากศาลอนุมัติข้อตกลงยุติคดี ค่าปรับ 1.7 หมื่นล้านบาท จะกลายเป็นการลงโทษปรับบริษัทออสเตรเลียในวงเงินสูงสุดในประวัติศาสตร์