แผน “ดูด” คสช. เปิดแผลเพิ่มแรงเสียดทาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

  • วันที่ 01 พ.ค. 2561 เวลา 09:53 น.

แผน "ดูด" คสช. เปิดแผลเพิ่มแรงเสียดทาน

เป้าใหญ่ที่จะถูกถล่มอย่างหนัก ก็คือ จุดยืนกับการยอมกลืนน้ำลาย “ดูด” คนการเมืองที่ก่อนหน้านี้ คสช.ตีตราว่าเป็นจำเลยที่สร้างปัญหาทางการเมืองช่วงที่ผ่านมา

********************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ปฏิบัติการ “ดูด” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สอดรับกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จากที่เคยออกมาตอบโต้ก่อนหน้านี้ว่า “ฉันไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น วิพากษ์วิจารณ์ไปสิ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว ทำงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกัน”

ล่าสุดกลับมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป โดยออกมาชี้แจงว่า “การดูดกันก็มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว เป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบาย เพื่อชาติและประชาชน คำว่า ดูด สส. คงเป็นภาษาของสื่อฯ เป็นการตลาด”​

เพิ่มเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงขึ้นกับการกระทำที่กำลังนำพาการเมืองย้อนกลับไปสู่สภาพที่เป็นมาในอดีต สวนทางกลับภารกิจการปฏิรูปที่เคยประกาศว่าจะแก้ปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน และพาสังคมก้าวพ้นจากวังวนปัญหา เดินหน้าไปข้างหน้าให้ได้

แถมยังทำให้ทุกอย่างที่ คสช.พยายามเดินหน้ามาทั้งหมด ถูกมองว่าเป็นเส้นทางสู่การสืบทอดอำนาจเสียมากกว่าการปฏิรูปที่ควรจะเป็น อันจะนำไปสู่แรงเสียดทานที่ย้อนกลับมายัง คสช.อย่างรุนแรงในอนาคต

ลำพังด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือของ คสช.เวลานี้ ย่อมถูกมองว่าสร้างความได้เปรียบอย่างมาก หากคนในรัฐบาล คสช.จะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาโดยส่งคนลงสนามเลือกตั้ง ทั้งอำนาจทางตรง ทางอ้อม ที่ควบคุม ทั้งกลไกข้าราชการ แถมยังมีเม็ดเงินที่กระจายผ่านโครงการต่างๆ ลงไปยังพื้นที่

ยังไม่รวมกับคำสั่ง คสช.ที่กดไม่ให้พรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆ ได้ขยับทำกิจกรรม หรือแสดงความคิดความเห็นตลอดช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จนฐานคะแนนในแต่ละพื้นที่เริ่มอ่อนแรง

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ คสช.​ปลดล็อกคำสั่งให้กลุ่มการเมืองกลับมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรม รวมทั้งแสดงความคิดเห็นได้เมื่อไหร่ ​นั่นย่อมทำให้แรงกดดันที่อัดอั้นมานานปะทุขึ้น

เริ่มตั้งแต่กลไกพิเศษที่แทรกเข้ามาในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญปี 2560 เกี่ยวกับกลไก สว. 250 เสียง ซึ่ง คสช.​เป็นผู้คัดเลือก และจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรี

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นน่าจะอยู่ตรงที่การเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในจำนวน 1 ใน 3 รายชื่อ ที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะเสนอ ซึ่งจะอาศัยเพียงแค่เสียง สส.​อีกแค่ 126 เสียง เมื่อรวม กับ 250 เสียงของ สว.​ก็จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของเสียงรัฐสภาทั้งหมด 750 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป

ยิ่งหากเทียบเคียงกับเส้นทางนายกรัฐมนตรีคนนอกที่ต้องใช้มติ 2 ใน 3 ของรัฐสภา คือ 500 เสียง จาก 750 เสียง เพื่อปลดล็อก ซึ่งหมายความว่า คสช.จะต้องหาเสียงอีก 250 เสียง เพื่อไปรวมกับเสียง สว.ให้ได้ 500 เสียง ซึ่งยากกว่าวิธีแรก

ปัญหาอยู่ที่การระดมเสียง 126 เสียง จากพรรคการเมืองที่ประกาศตัวสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี อาจไม่เพียงพอในทางปฏิบัติ จำเป็นต้องต่อสายสร้างสัมพันธ์กับพรรคการเมืองทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก ตลอดจนมุ้งต่างๆ ในพรรคใหญ่

ดังจะเห็นจากการดึงกลุ่มอดีต สส.กทม.ของประชาธิปัตย์ ทั้ง สกลธี ภัททิยกุล ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่เคยเข้าพบ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่สกลธีจะได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในเวลาต่อมา

ตอกย้ำข้อครหาเรื่องการดูดโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ให้รุนแรงมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ทางกลุ่มของพรรคพลังชล ทั้ง ​สนธยา คุณปลื้ม​ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

สอดรับกับการเดินสายพบปะกลุ่มการเมืองของคนใน คสช.อย่างตระกูลสะสมทรัพย์ เจ้าของพื้นที่ จ.นครปฐม ตลอดจนยังไม่รวมกับการเตรียมจัด ครม.สัญจร ที่ จ.บุรีรัมย์ ถิ่นของ เนวิน ชิดชอบ ฐานที่มั่นของพรรคภูมิใจไทย

ยังไม่รวมกับการต่อสายไปยังกลุ่มการเมืองอื่นๆ ทั้งกลุ่มมัชฌิมา ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน หรือ กลุ่มสระบุรี ของ ตระกูลอดิเรกสาร ที่ทำให้เป้า 126 เสียง ดูจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ทว่า สิ่งที่ คสช.ต้องยอมแลกมา คือ แรงกดดันที่จะหนักหน่วงขึ้นในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่เปิดให้พรรคการเมืองหาเสียงได้อย่างอิสระ เพราะนอกจากจะถูกรุมถล่มจาก 2 พรรคใหญ่ ถึงการบริหารงานอันล้มเหลวตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จนไม่อาจไว้วางใจให้กลับมาบริหารต่ออีก 4 ข้างหน้าแล้ว

ให้มาร่วมเป็นนั่งร้านค้ำยันรัฐบาล คสช.ในวันข้างหน้า

องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นการกระทำที่ขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และย้ำว่าการดูด​เพื่อสืบทอดอำนาจไม่ใช่การเมืองแบบใหม่อย่างที่นายกฯ เคยพูดไว้ แต่เป็นการเมืองแบบเก่าย้อนยุคเหมือนในอดีตที่ทหารยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหารแล้วต้องการสืบทอดอำนาจด้วยการก่อตั้งพรรคการเมืองดูด สส.มาหนุนตนเองให้เป็นใหญ่ต่อไป

ยังไม่รวมกับประเด็นเรื่องการที่ต้องย้อนกลับมาตอบแทนกลุ่มก๊วนการเมืองที่ร่วมสนับสนุนรัฐบาลในอนาคตข้างหน้าที่จะนำการเมืองย้อนกลับไปสู่วังวนที่เลวร้ายเหมือนที่เคยเป็นมา

ทั้งหมดย่อมลบล้างสิ่งที่เคยประกาศว่าจะทำเพื่อชาติเพื่อสังคม ​เมื่อสุดท้ายทุกอย่างสะท้อนให้เห็นว่าเป็นไปเพื่อการสืบทอดอำนาจเสียมากกว่า

Leave a comment