เปิดตัว”พลังประชารัฐ” บิ๊กตู่หมู่บ้านกระสุนตก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/politic/analysis/565332

  • วันที่ 24 ก.ย. 2561 เวลา 09:06 น.

เปิดตัว"พลังประชารัฐ" บิ๊กตู่หมู่บ้านกระสุนตก

หลังจากนี้ไปการเมืองจะกลับสู่การมีคู่ชกเหมือนระบบปกติ ไม่ได้ชกฝ่ายเดียวเหมือนกับ 5 ปีที่ผ่านมา งานนี้ต้องถามว่า “พล.อ.ประยุทธ์” พร้อมจะรับแรงปะทะขนาดไหน

************************************

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

หลังจากเก็บตัวเงียบอยู่ตั้งนาน ในที่สุด “พรรคพลังประชารัฐ” เตรียมจะเปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะอย่างเป็นทางการ โดยในวันที่ 29 ก.ย.จะมีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค สำหรับการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

ที่ผ่านมา พรรคพลังประชารัฐมีตัวละครที่เห็นชัดเจนเพียงแค่ “ชวน ชูจันทร์” และ“พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล” อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เท่านั้น ในฐานะเป็นผู้แจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจดแจ้งชื่อพรรค

พรรคพลังประชารัฐถูกโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาตลอด เนื่องจาก พ.อ.สุชาติ เป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่แปลกที่จะถูกโยงถึงกัน

ไม่เพียงเท่านี้ ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ ในระยะนี้ได้แสดงเป็นนัยทางการเมืองค่อนข้างชัดเจนว่าจะลงสนามเลือกตั้ง แม้โดยสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สามารถลงสมัคร สส.ได้ ด้วยเหตุที่ติดเงื่อนไขตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กำหนด แต่หากมองไปถึงการเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งแล้ว เงื่อนไขทางกฎหมายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่ประการใด เหลือเพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาเป็นนายกฯ ตามช่องทางไหนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน การเดินหมากของพรรคพลังประชารัฐ ดูเหมือนว่าจะละม้ายคล้ายกับช่วงการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยพอสมควร

เวลานั้นพรรคไทยรักไทยใช้ระบบการดูด สส.จากพรรคการเมืองขนาดกลางควบคู่ไปกับการควบรวมพรรคการเมืองทั้งพรรค ไม่ว่าจะเป็นพรรคความหวังใหม่ หรือพรรคเสรีธรรม พรรคชาติพัฒนา เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของการสร้างพลังดูดทางการเมืองของประเทศไทย

ส่วนพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ดำเนินการด้วยตัวเองโดยตรง แต่อาศัยกลไกกลุ่มการเมืองทำหน้าที่แทน ดังจะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มสามมิตร” นำโดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” อดีตแกนนำกลุ่มวังน้ำยม ท่อต่อของกลุ่มสามมิตรที่เชื่อมโยงไปถึงรัฐบาลปัจจุบันนั้นจะอาศัยการผ่านไปทาง“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ

กลุ่มสามมิตร ซึ่งล้วนเป็นคนที่เคยทำงานใกล้ชิดกับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตเจ้านายใหญ่ของตัวเอง แน่นอนว่าย่อมรู้ตื้นลึกหนาบางของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างดี

ด้วยเหตุนี้เองที่ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐและกลุ่มสามมิตรกลายเป็นคนเนื้อหอมมากที่สุดในเวลานี้ เมื่อเทียบกับสภาพของพรรคการเมืองในปัจจุบันที่ถูก คสช.ล็อกคอมาตลอด 5 ปี

ดังนั้น การประชุมพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการวันที่ 29 ก.ย. จึงเป็นเรื่องวาระทางการเมืองที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจจะมีบุคคลในรัฐบาลเข้าไปร่วมงานกับพรรคอย่างเป็นทางการล่วงหน้าก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

หนึ่งในบุคคลที่ถูกคาดหมายว่าจะมาสวมเสื้อพรรคพลังประชารัฐ คือ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และ อุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม โดยถึงขั้นจะเข้ามามีตำแหน่งในพรรคด้วยในตำแหน่งเลขาธิการพรรคและหัวหน้าพรรคตามลำดับ

เมื่อพรรคพลังประชารัฐเริ่มออกตัวในทางการเมืองมากขึ้น ก็ไปบังเอิญกับความเคลื่อนไหวของรัฐบาลที่กำลังพยายามอนุมัติงบประมาณและโครงการต่างๆ ในนาม “ประชารัฐ” ลงไปในแต่ละพื้นที่มากขึ้นในระยะนี้ ยิ่งมาบวกกับเสียงเชียร์ของรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกครั้งเพื่อสานงานการปฏิรูปประเทศต่อให้จบ จึงทำให้ตอกย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็น พล.อ.ประยุทธ์ เดินสายหาเสียง

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวพรรคพลังประชารัฐ ในแง่หนึ่งอาจมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนที่ส่งผลกระทบมายังรัฐบาลปะปนกันไป

มองในด้านดี จะช่วยให้กลุ่มสามมิตรและบรรดาอดีต สส.สามารถทำพื้นที่ทางการเมืองได้ง่ายมากขึ้น เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเทงบประมาณเกี่ยวกับการพัฒนาลงไปมาก ก็เพื่อหวังดึงฐานมวลชนให้เอาใจออกห่างจากพรรคเพื่อไทย

เช่นนี้ บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายจะได้เอามาเป็นจุดขายในการหาเสียงในทำนองว่าถ้าเลือกพรรคพลังประชารัฐมาเป็นรัฐบาล จะช่วยให้โครงการและงบประมาณมีความต่อเนื่องมากกว่าที่จะให้พรรคการเมืองมาเป็นรัฐบาลแทน ซึ่งเป็นลูกไม้เดียวกับการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในอดีต

เพียงแต่การแกรนด์โอเพนนิ่งของพรรคพลังประชารัฐในเร็วๆ นี้ อาจนำมาซึ่งความลำบากให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกจับผิดมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะกลายเป็นเป้าโจมตีจากพรรคการเมืองอื่นในระหว่างการหาเสียง เพราะต้องไม่ลืมว่าแม้จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังมีอำนาจสมบูรณ์ 100% ในการบริหารประเทศ ต่างกับรัฐบาลรักษาการระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงที่ต้องห้ามกระทำการบางอย่างตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

จากนี้ไปการเมืองจะกลับสู่การมีคู่ชกเหมือนระบบปกติ ไม่ได้ชกฝ่ายเดียวเหมือนกับ 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมจะรับแรงปะทะขนาดไหน

Leave a comment