แปลงความหวังดีเป็นสิ่งเลวทราม #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/scoop/420069?utm_source=category&utm_medium=internal_referral&utm_campaign=scoop

แปลงความหวังดีเป็นสิ่งเลวทราม

2 มีนาคม 2563 – 10:00 น.
ไวรัสโควิด-19,ปิยบุตร แสงกนกกุล,พลอประยุทธ์,ชุมนุม
เปิดอ่าน 1,089 ครั้ง

แปลงความหวังดีเป็นสิ่งเลวทราม  คอลัมน์…  วงในวงนอก   โดย… สถิตย์ ธรรม

ไม่ค่อยได้รับข่าวดีเลยสำหรับสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แม้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ หรือ NHC ของจีน เปิดเผยว่า สัดส่วนจำนวนสะสมของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ได้รับการรักษาจนหายดีต่อผู้ติดเชื้อที่เสียชีวิตทั่วจีนขยายตัวอยู่ที่ 13.8 ต่อ 1 สะท้อนว่าอัตราการรักษาหายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อ่านข่าว…  ผลงานสุดท้ายในสภาของ “ปิยบุตร” เรียกร้องล้างมรดกคสช.

ทว่าการแพร่ระบาดประเทศอื่นๆ กำลังมากขึ้น โดยเฉพาะที่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อิหร่าน หากมองสถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วทุกมุมโลก เหลือแต่ทวีปแอนตาร์กติกาทวีปเดียวที่ยังไม่พบรายงานผู้ติดเชื้อ

หันกลับมาดูประเทศไทยไม่มีข่าวดีและต้องขอแสดงความเสียใจ มา ณ โอกาสนี้ด้วย ล่าสุดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉิน กระทรวงสาธารณสุข แถลงชายไทยวัย 35 ปี ซึ่งเป็นพนักงานขายห้างสรรพสินค้าได้เสียชีวิต ถือเป็นคนไทยรายแรกที่เสียชีวิต

มีปัจจัยหลายประการที่จะทำให้สถานการณ์แพร่ระบาดในไทยเพิ่มขึ้นได้ เช่น การเดินทางไปต่างประเทศกลับมาล้มป่วยแต่ไม่พบแพทย์ หรือไปพบแพทย์ก็ปกปิดข้อมูล เชื้อก็แพร่กระจายไปต่อไหน

อีกประการคือการไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพ คิดว่าตนเองสตรองตลอดเวลา ไม่สวมหน้ากากอนามัย ไม่ล้างมือให้สะอาด เข้าไปอยู่ในสถานที่ชุมนุมแออัด สัมผัสละอองฝอยจากผู้มีเชื้อ เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การแพร่ระบาดไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็วมากมาย

ตัวอย่างมีให้เห็นกันไปแล้ว เช่น กรณีคุณปู่คุณย่าที่ไปเที่ยวฮอกไกโด และพาเชื้อไวรัสโควิด-19 ติดตัวกลับมาด้วย ปฏิเสธการบอกประวัติการเดินทางกับแพทย์ ผู้ที่อยู่ใกล้สัมผัสตั้งแต่ในไฟลท์บินเดียวกัน ลูกหลาน และผู้ที่ใกล้ชิดกับครอบครัว ต้องถูกนำมาตรวจเช็กอาการกันอย่างจ้าละหวั่น

ถึงได้บอกไวรัสโควิด-19 อันตรายกว่าที่ทางการแพทย์ประเมินไว้นัก จึงไม่แปลกที่สาธารณสุขได้ออกประกาศให้ไวรัสโควิด-19 จัดอยู่ในกลุ่มโรคอันตรายร้ายแรง ลำดับที่ 14 แล้ว และด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่อาจควบคุมได้มีแต่จะเริ่มแพร่มากขึ้น ทางรัฐบาลคงต้องมีการยกระดับมาตรการในการสกัดโรคร้ายนี้

…สถิตย์ ธรรม… สืบทราบมาว่าเร็วๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงต้องแสดงบทบาทภาวะผู้นำต่อการรับมือโรคระบาดอีกรอบ แนวโน้มอาจมีการประกาศยกระดับความเสี่ยงสู่ระดับ 3 หรือไม่ ซึ่งเมื่อประกาศยกระดับ 3 นั่นหมายความว่ามาตรการสกัดยับยั้งเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ทั้งเรื่องการมอบอำนาจให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจเข้าตรวจค้น ออกคำสั่งห้ามต่างๆ นานา

แต่คงไม่ถึงขั้นมีการออกประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร เหมือนอย่างที่นักกฎหมายขมองอิ่มในค่ายสีส้มออกมาตีโพยตีพายว่า นี่เป็นวาระซ่อนเร้นเพื่อห้ามนิสิตนักศึกษาชุมนุม

ยิ่งกลับไปตรวจสอบข่าวการออก พ.ร.บ.ความมั่นฯ คงมีที่มาที่ไปอย่างไร พบว่า เป็นการให้สัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข กล่าวไว้อย่างนี้ครับ

“อาจต้องไปใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไม่ให้เกิดการชุมนุม เพื่อป้องกันแพร่ระบาดของโรค แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่หากห้ามแล้วไม่ฟัง ผู้จัดงานหรือหากจัดการชุมนุมก็ต้องรับผิดชอบหากเป็นสาเหตุทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค” เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งต่อมา พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมายืนยันไม่มีความคิดในการออกพ.ร.บ.ฉบับนี้

น่าเสียใจครับ เพราะในขณะที่ทุกฝ่ายแสดงความห่วงใยในชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมไปถึงน้องๆ นิสิตนักศึกษาที่ร่วมอยู่ในสถานที่ชุมนุม ต้องมีวิธีการดูแลสุขภาพอนามัยกันอย่างเคร่งครัด หรือทางที่ดีควรเลี่ยงการชุมนุมไปก่อน

อีกอย่างหากสถานการณ์แพร่ระบาดถูกยกระดับ 3 ถึงวันนั้นต้องใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดอยู่ดี วัตถุประสงค์เพื่อรักษาชีวิตทุกคนให้ปลอดภัยไม่เพิ่มภาระให้บุคลากรทางการแพทย์ที่จะต้องรับมือสถานการณ์ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดเหมือนอู่ฮั่นระยะแรกๆ

แต่ก็มีนักกฎหมายค่ายสีส้มที่พาพรรคลงเหวไปแล้ว ไม่รู้ร้อนรู้หนาวตีความห่วงใยไปเป็นเรื่องการเมืองเสียฉิบ มองว่าการที่รัฐบาลนำเรื่องห้ามชุมนุมเพื่อสกัดไวรัสโควิด-19 เป็นวาระซ่อนเร้น

ท่านที่ต้องการอ่านมุมมองกฎหมายของนายปิยบุตร แสงกนกกุล โดยละเอียด สามารถคลิกอ่านทางเนชั่นสุดสัปดาห์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการตีความกฎหมายได้กวนส้น…มาก

ทำไมมองในแง่ลบอย่างนี้ สะท้อนไปถึงความคิดอันวิบัติ มีจิตใจอันโหดร้ายเกินไปหน่อยกระมัง สมแล้วที่ประกาศตนเป็น “ปีศาจ”

เพราะปีศาจมักเสกสรรปั้นแต่ง ทำขาวให้เป็นดำ แปลงเจตนาสิ่งดีงามให้เป็นความชั่วช้าเลวทรามเสมอ

Leave a comment