“สัมฤทธิ์ ตะพานทอง” เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน พลิกชีวิตด้วยหลัก”ตลาดนำการผลิต” #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

“สัมฤทธิ์ ตะพานทอง” เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก”ตลาดนำการผลิต” 

"สัมฤทธิ์ ตะพานทอง" เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก"ตลาดนำการผลิต" 22 สิงหาคม 2563 – 10:56 น.

“สัมฤทธิ์ ตะพานทอง” เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก”ตลาดนำการผลิต” 

สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกรด้วยวิธีการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

 พร้อมกันนี้ยังได้ทรงพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ พร้อมพระบรมราโชบายเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการปฏิรูปที่ดิน โครงการผืนดินพระราชทานพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา นครปฐม นครนายก พระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี คือหนึ่งในงานสำคัญที่ ส.ป.ก. ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ได้ปรากฏผลสำเร็จอย่างเด่นชัด ภายใต้รูปแบบของการบูรณาการการทำงาน ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ โดยยึดมั่นและน้อมนำพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ช่วยขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินบนผืนดินพระราชทาน จนสามารถอยู่ดี มีความสุข เกิดความมั่นคงในชีวิต

"สัมฤทธิ์ ตะพานทอง" เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก"ตลาดนำการผลิต" 

                                        สัมฤทธิ์ ตะพานทอง  เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน

"สัมฤทธิ์ ตะพานทอง" เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก"ตลาดนำการผลิต" 

นายสัมฤทธิ์ ตะพานทอง เกษตรกรวัย 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ 6  บ้านคลอง30 ตำบลทองหลาง อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก คือ หนึ่งในต้นแบบเกษตรที่ประสบความสำเร็จ อันเกิดขึ้นจากการทำงานด้วยความมุ่งมั่น วิริยะ อุตสาหะของ ส.ป.ก.  ที่วันนี้สามารถสร้างรายได้เฉลี่ย จากการจำหน่ายผลผลิตจากแปลงเกษตรกรรมบนผืนดินพระราชทาน เนื้อที่ 20 ไร่ 2 งาน 8 ตารางวา ถึงเดือนละ 40,000-50,000 บาท

                "สัมฤทธิ์ ตะพานทอง" เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก"ตลาดนำการผลิต"  “ ผมเดิมนั้น ไม่มีทั้งที่ดินทำกิน และมีหนี้สินมากมาย ท้อแท้มากครับเมื่อก่อน แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป เมื่อผมรับการคัดเลือกจาก ส.ป.ก. ให้รับสิทธิ์เข้ามาทำกินบนผืนดินพระราชทาน โดยทำสัญญาเช่าที่ดินจาก ส.ป.ก ปีละ 931 บาท”
โดยหนึ่งในการสนับสนุนที่สำคัญของ ส.ป.ก. คือ การเสริมสร้างแนวคิดด้านการตลาด ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวทาง “ ตลาดนำการผลิต” และได้เป็นหัวใจสำคัญของการนำมาซึ่งความสำเร็จของลุงสัมฤทธิ์ ในวันนี้

              "สัมฤทธิ์ ตะพานทอง" เกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน  พลิกชีวิตด้วยหลัก"ตลาดนำการผลิต"  “ ส.ป.ก.ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนเยอะมากทั้งปัจจัยการผลิต องค์ความรู้ต่าง ๆที่นำมาปรับใช้ได้ เช่น แนวทางการทำเกษตรแบบผสมผสาน ที่มีพืชหลัก พืชรอง พืชเสริม เพื่อสร้างรายได้ โดยพืชหลักคือ ผักสวนครัวชนิดต่าง ๆ ที่สร้างรายได้ให้ทุกวัน อาทิ คะน้า กวางตุ้ง ผักกาดขาว โหระพา กะเพรา พริกขี้หนู เป็นต้น พืชรองที่สร้างรายได้เป็นรายเดือน ได้แก่ กล้วยน้ำว้า และพืชเสริม ที่สร้างให้ปีละครั้ง คือ ลำไยพันธุ์พวงทอง โดยการเลือกพืชชนิดที่ปลูก ผมใช้หลักตามการส่งเสริมของ ส.ป.ก. อีกนั่นคือ  ตลาดนำการผลิต”
“ ชีวิตผมพลิกได้ เพราะทุกอย่างที่ปลูก เป็นสิ่งที่ตลาดต้องการ ขอเพียงทำให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และปลอดภัยต่อผู้บริโภค อย่างผักสวนครัวนั้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องบริโภคทุกวัน อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบด้านการลงทุนด้วย ลงทุนน้อยกว่าพืชอื่น ๆ และเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องจ้างใคร ทำให้ต้นทุนค่าจ้างแรงงานเราไม่มี” ลุงสัมฤทธิ์ กล่าว
โดยที่ลุงสัมฤทธิ์ได้เน้นย้ำ คือ การทำการเกษตรนั้น สิ่งสำคัญต้องมีตลาดรองรับ ต้องรู้ว่าปลูกแล้วจะขายที่ไหน ขายอย่างไร
“ เพราะความต้องการของแม่ค้าแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน อย่าง กะเพรา แม่ค้าที่เข้ามารับซื้อที่สวนผมจะชอบพันธุ์แบบใบเล็ก ๆ ถ้าเป็นพันธุ์แบบใบใหญ่ ไม่ต้องการ แม่ค้าบอกไม่หอม พอเรารู้ตลาดก็จะรู้ว่าควรปลูกอะไรอย่างไรที่ตรงกับความต้องการ ตอนนี้ผมแบ่งพื้นที่ออกมาประมาณ 5 ไร่ เพื่อปลูกผักทุกอย่างที่ตลาดต้องการ วันหนึ่งจะมีเงินเข้าบ้านจากการเก็บผักขายหลักพันครับ”
“ ดังนั้น สำหรับผู้สนใจที่อยากมาทำเกษตร ผมขอแนะนำว่า ควรเริ่มจากการปลูกน้อย ๆก่อน เรียนรู้ทั้งวิธีปลูก วิธีดูแล และสุดท้ายเรียนรู้ด้านตลาด ด้วยการเอาผักออกไปขายเองตามตลาดก่อน ทำให้แม่ค้าเห็นว่า เรามีผักดีมีคุณภาพ จากนั้นก็ติดต่อกับแม่ค้าให้เข้ามารับซื้อผักถึงที่สวนของเรา ผมทำมาแบบนี้ เริ่มจากที่น้อย แล้วเอาไปขาย เริ่มหาตลาด พอมีตลาดก็ขยายพื้นที่ปลูกเยอะได้” ลุงสัมฤทธิ์ กล่าว
สำหรับรายได้ที่รับในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปีนั้น ลุงสัมฤทธิ์ยังเน้นการบริหารเงินอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมาย โดยบอกว่า  จะจัดแบ่งออกเป็นกอง ๆ เช่น กองที่หนึ่ง เป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว กองที่สอง เพื่อเป็นเงินสะสมเก็บออมไว้ และกองที่สาม เพื่อเป็นเงินปลดหนี้ เป็นต้น
“ ตอนนี้ผมมีหนี้ค้างอยู่กับธนาคารอีกประมาณ 300,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะปลดหนี้ก้อนนี้ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน”ลุงสัมฤทธิ์กล่าว
ทั้งหมดนี้ คือ อีกหนึ่งต้นแบบความสำเร็จ ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรบนผืนดินพระราชทาน ที่ดำเนินการโดย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่จังหวัดนครนายกแห่งนี้

Leave a comment