ฝ่ายค้านเดินหน้าต่อดันผ่านวาระ 3 แก้รัฐธรรมนูญ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/politic/460949

ฝ่ายค้านเดินหน้าต่อดันผ่านวาระ 3 แก้รัฐธรรมนูญ 

ฝ่ายค้านเดินหน้าต่อดันผ่านวาระ 3 แก้รัฐธรรมนูญ 

12 มีนาคม 2564 – 20:44 น.

พรรคร่วมฝ่ายค้าน เดินเครื่องเต็มสูบ โหวตแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ลั่น การฉีก รธน.ไม่ง่ายกว่าแก้ ขอสมาชิกสภาอย่าลดทอนอำนาจประวิงเวลา เปรียบเป็นการพายเรือในอ่าง ข้ามหัวประชาชน

พรรคร่วมฝ่ายค้านแถลงการกำหนดท่าทีและการดำเนินการหลังคำวินิจฉัยของศาล กรณีอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การหารือในวันนี้ได้ดำเนินการพิจารณาคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้ ในการยื่นญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมของพรรคฝ่ายค้านที่เสนอเข้าไปยังรัฐสภา แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้แถลงออกมา อนุญาตให้แก้ไขทั้งฉบับได้
ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีความคิดเห็นว่าในกรณีเช่นนี้ จะดำเนินการต่อไปโดยไม่ให้ผิดเกี่ยวกับมติของศาลรัฐธรรมนูญ โดยจะดำเนินการขอแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งอำนาจของรัฐสภาที่มีอยู่ ณ ขณะนี้ ดำเนินการในวาระ 3 ต่อไป

การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 เป็นเรื่องที่ค้างอยู่ในสภา ซึ่งการดำเนินการในวันที่ 17 – 18 มีนาคมนี้ ประธานรัฐสภาควรจะนำเรื่องเกี่ยวกับการลงมติในวาระ 3 เข้าสู่ที่ประชุม ส่วนจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คงจะมีการคัดค้านไปตามเรื่อง จึงอยากให้ประชาชนได้ติดตามสิ่งต่างๆ ที่ทำไปเป็นแนวทางที่ประชาชนต้องการให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า พรรคก้าวไกลยืนยันว่า อำนาจหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหน้าที่ของรัฐสภาตั้งแต่ต้น การที่มีคำวินิจฉัยออกมาเมื่อวาน ถือได้ว่าเป็นคำยืนยันความปกติของรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ได้ฉีกง่ายกว่าแก้

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ควรล้มล้างการปกครองหรือรัฐประหารอย่างเดียวซึ่งการลดทอนอำนาจของสภาฯ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการประวิงเวลา ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ถ้าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมานั้นสอดคล้องกับเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญที่กำลังทำอยู่และวาระ 1และ2 ไม่เป็นโมฆะเดินหน้าไปสู่วาระที่ 3 ในวันที่17 -18 มีนาคม ซึ่งกระบวนการที่ทำอยู่นั้นเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่ร่างฉบับใหม่ โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตรา 256 การที่มีสมาชิกรัฐสภาพยายามลดทอนอำนาจของตัวเองอีก 1 ครั้ง โดยถือว่าวาระ 1 และวาระ 2 เป็นโมฆะ ถือเป็นการตีความที่ไม่เห็นหัวประชาชน และไม่ถูกต้อง”

นายพิธา กล่าวว่า เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญมีอยู่ สอดคล้องและชอบธรรมกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และถึงแม้วันที่ 17 -18 มีนาคมนี้ ถูกบรรจุไว้ในวาระที่ 3 แล้ว ทุกคนคงทราบดีว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบนี้เป็นการพายเรืออยู่ในอ่าง มีความพยายามที่จะถ่วงเวลาตั้งคณะกรรมการศึกษาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อสืบทอดอำนาจไว้ให้นานที่สุด

“การแก้ไขรัฐธรรมนูญหากมีการคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 จะแสดงให้เห็นได้ถึงความจริงใจในการแก้ไข พร้อมตั้งคำถามว่าถ้ารัฐบาลจริงใจ เหตุใดจึงต้องโหวตคว่ำปิดประตูการแก้ไข ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแสดงถึงวิธีการลดอุณหภูมิการเมืองการแก้ไขวิกฤตรัฐธรรมนูญและแก้ไขปัญหาการเมืองของประเทศไทยโดยการถามถึงประชามติว่าต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใดหรือไม่ตามมาตรา 166 ให้อำนาจกุญแจการแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองอยู่ที่ครม. ซึ่งรัฐบาลควรมองเห็นตรงนี้ในการทำประชามติตามมาตรา 166 ว่าประชาชนต้องการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่”

 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า ประธานรัฐสภาทำหน้าที่ได้บรรจุการพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 ซึ่งเป็นฉบับที่ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลที่เสนอเข้ามา ซึ่งจะต้องให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ค้างอยู่ในสภา

“การที่จะนำเรื่องอื่นมาอภิปรายหรือหารือก่อนถึงลงมติผมคิดว่าประธานรัฐสภาคงทราบดี เพราะจะทำให้เรื่องที่พิจารณาอยู่นั้นตกไปตนเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจในหลักการนี้ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญในฉบับนี้ใช้เวลามากกว่าปีกว่าและเริ่มต้นจากนโยบายของรัฐบาล แต่ถูกยื้อเวลาด้วยการตั้งกรรมาธิการไปศึกษาก่อน ตนมองว่าเสียเวลาเป็นรายเดือน พร้อมกับระบุว่า มีบางฝ่ายไม่จริงใจ ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญให้แก้ได้

แต่ต้องถามความเห็นจากประชาชนก่อนแต่ก็ยังมีการเตรียมตัวในสภาให้ล้มการลงมติในวาระ 3 มาแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา 256 แสดงถึงความไม่จริงใจล้มความคิดของประชาชน

และประชาชนไม่ได้เรียกร้องให้มีการกระทำแบบนี้ซ้ำซาก แล้วประเทศจะอยู่ได้อย่างไร พร้อมขอสมาชิกรัฐสภาเห็นหัวประชาชนบ้าง อยู่ทุกวันนี้ประชาชนมีความยากลำบากประชาชนเดือดร้อนไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นมีประชาชนและทำตามใจที่คิดว่าควรจะทำ

ส่วนการตีความในมาตรา 5 นั้นนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อธิบายว่าต้องทำประชามติ ตั้งแต่ก่อนลงพระปรมาภิไธยอยู่แล้ว ซึ่งการทำประชามติแต่ละครั้งใช้งบประมาณประมาณ 3-4 พันล้านบาท

ซึ่งทางออกของเรื่องนี้ตนมองว่าสามารถทำประชามติที่จะถามประชาชนว่ากระบวนการที่รัฐธรรมนูญควรเริ่มมาจากการมีการเลือกตั้ง สสร. โดยอาจใช้คำถามพ่วงที่เกิดขึ้นในครั้งเดียวกัน ตั้งแต่ก่อนที่จะนำร่างแก้ไขนี้ลงพระปรมาภิไธย โดยจะเป็นการถาม 2 คำถามในครั้งเดียวกัน

Leave a comment