#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
https://www.posttoday.com/life/work-life-balance/653660
วันที่ 24 พ.ค. 2564 เวลา 07:10 น.
โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการ ศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน
ปัญหาคือ ความท้าทาย การแก้ปัญหาคือ ศิลปะ หลักการสำคัญของการแก้ปัญหาให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพต้องตั้งอยู่บนฐานคิดเชิงระบบ
แนวคิดเชิงระบบคือความเข้าใจในความจริงที่ว่า
1. ระบบคือธรรมชาติของทุกสรรพสิ่ง ทั้งที่เป็นวัตถุที่จับต้องได้และอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด ปัญญา และความรู้ที่จับต้องไม่ได้
2. ระบบคือ ภาวะองค์รวมที่เกิดจากการเชื่อมโยงขององค์ประกอบ ภาวะใหม่ที่เกิดขึ้นนี้สามารถแสดงศักยภาพหรือคุณสมบัติที่แตกต่างจากองค์ประกอบเดิม (เมื่ออยู่อย่างแยกส่วน) และเราก็ใช้คุณสมบัติดังกล่าวเพื่อประโยชน์หรือแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณค่าและความหมาย
3. ระบบแต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะตามองค์ประกอบและการเชื่อมโยงที่แตกต่าง จึงนำมาซึ่งความหลากหลายของสรรพสิ่ง รวมทั้งความหลากหลายของทางเลือกของการแก้ปัญหา
4. องค์ประกอบในระดับหนึ่งๆ (ของภาวะองค์รวมที่ใหญ่กว่า) สามารถแสดงความเป็นองค์รวมโดยตัวของมันเอง เพราะตัวมันเองก็ประกอบไปด้วยองค์ประกอบย่อยๆ ที่เล็กลงไปอีกที่มาเชื่อมโยงกัน และองค์ประกอบย่อยนั้นก็ประกอบด้วยองค์ประกอบที่ย่อยๆ ลงไปอีก และก็เป็นเช่นนี้ ไล่เรียงกันลงไปอย่างเป็นลำดับชั้น เรื่อยไปไม่สิ้นสุด
5. สรรพสิ่งจึงปรากฏอยู่ในลักษณะของระบบซ้อนระบบ องค์รวมซ้อนองค์รวม ทั้งในระดับสูงกว่าและต่ำกว่า
6. ในแต่ละระดับของภาวะองค์รวมที่ซ้อนกันอยู่นั้นมันสามารถแสดงคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันตามระดับของมัน
คุณสมบัติความเป็นองค์รวมเชิงซ้อน มันจึงเป็นจริงทั้งความเป็นวัตถุทางกายภาพและแนวทางการแก้ปัญหา เพราะทุกปัญหา มันก็ไม่เคยมาเดี่ยวๆ แต่ทับซ้อนกันอย่างสลับซับซ้อน แนวทางการแก้ปัญหาจึงต้องพัฒนาแนวคิดระบบเชิงซ้อน
เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ เราลองพิจารณา กาแฟร้อนเอสเพรสโซ่ มันเกิดจากการเชื่อมโยงของผงกาแฟและน้ำร้อน แล้วเราบริโภคศักยภาพของมัน ในรูปของความหอมและรสชาติที่เข้มข้นเป็นจุดขาย

แต่เมื่อนำเอสเพรสโซ่ที่ได้มาเติมฟองนม 2 ส่วน และนมสดร้อน 1 ส่วน เราจะได้คาปูชิโน่ และเราก็ติดใจในความนุ่มของมัน
แต่หากเราเปลี่ยนสัดส่วนเป็นฟองนม 1 ส่วน และนมสดร้อน 2 ส่วน เราจะได้ลาเต้ที่มีความนุ่มนวลไปอีกแบบ
หรือหากเรานำฟองนม นมสดร้อน และช็อกโกแลต อย่างละส่วน มาชงเข้าด้วยกัน เราจะได้มอคค่า ซึ่งก็มีรสชาติที่ต่างออกไป
จะเห็นได้ว่ากาแฟร้อนชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละระดับต่างก็คือระบบซ้อนระบบที่ทับซ้อนกัน
ดังนั้น หากจะทำมอคค่าให้อร่อยต้องพัฒนาองค์ประกอบ รวมทั้งการชงในแต่ละระดับชั้น ย้อนเรื่อยขึ้นไปจนถึงขั้นตอนแรก
ธรรมชาติของปัญหาก็เช่นกัน ทุกอาการของปัญหาล้วนเกิดจากการทับซ้อนของปัญหาต่างๆ อย่างสลับซับซ้อน ดังนั้น การแก้ปัญหาจึงต้องจัดการที่ตัวองค์ประกอบและการเชื่อมโยงอย่างเป็นลำดับชั้นของแต่ละระบบที่ทับซ้อนกัน
ไม่ว่าเราจะพิจารณาในระดับใดทั้งตนเองครอบครัวองค์กรสังคมและประเทศชาติที่เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนนั้นเป็นเพราะเราขาดมุมมององค์รวมเชิงซ้อนเรามองไม่ออกว่าสรรพสิ่งไม่ว่ารูปหรือนามล้วนปรากฏอยู่ในลักษณะของความเป็นระบบเชิงซ้อน
ดังนั้น อาการของปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ แล้วที่ไม่สามารถหาทางออกได้อย่างสร้างสรรค์ นั่นเป็นเพราะว่า เรายังขาดการคิดและการจัดการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันเป็นระบบเชิงซ้อน และเมื่อหลักคิดผิดและการปฏิบัติก็ไม่ถูกต้อง นั่นคือเรากำลังหลงทาง เพราะเรามองไม่ขาด ไม่ทะลุ จึงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และนอกจากจะสร้างความสูญเสียทรัพยากรมากมาย รวมทั้งโอกาสที่ผ่านไปแล้ว มันยังจะสร้างปัญหาที่ซับซ้อนลงบนปัญหาเดิมให้หนักยิ่งกว่าเดิม และสร้างความเสียหายในระยะยาว
แนวคิดระบบเชิงซ้อนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญของการสร้างองค์กรให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริง