ประเทศยากจนติดหนี้จีนบานเบอะ ลาวครองแชมป์-ไทยติดโผ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/world/664387

วันที่ 29 ก.ย. 2564 เวลา 17:39 น.ประเทศยากจนติดหนี้จีนบานเบอะ ลาวครองแชมป์-ไทยติดโผโครงการเส้นทางสายไหมของจีนที่ปล่อยเงินกู้ให้ประเทศยากจนรวมทั้งไทยนำมาสร้างโครงสร้างพื้นฐานก่อหนี้ซ่อนเร้น 3.85 แสนล้านเหรียญ

การวิจัยของ AidData ในสหรัฐพบว่า โครงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative) ที่ผลักดันโดยประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ของจีน ทำให้ประเทศยากจนต้องแบกรับหนี้ซ่อนเร้นสูงถึง 385,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และกว่า 1 ใน 3 ของโครงการทั้งหมด 13,427 โครงการต้องเผชิญกับการคอร์รัปชันและการประท้วง

นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ Belt and Road Initiative เมื่อปี 2013 รัฐบาลจีนเข้าไปลงทุนสร้างถนน สะพาน ท่าเรือ และโรงพยาบาลรวมมูลค่ากว่า 843,000 ล้านเหรียญสหรัฐใน 163 ประเทศรวมทั้งในแอฟริกาและเอเชีย รวมถึงไทย

แบรด พาร์ค ประธานบริหาร AidData เผยกับ AFP ว่า เกือบ 70% ของเงินก้อนดังกล่าวถูกปล่อยกู้ไปยังธนาคารของรัฐหรือกิจการร่วมค้าระหว่างธุรกิจของจีนและหุ้นส่วนในท้องถิ่นในประเทศที่เป็นหนี้จีนก้อนใหญ่อยู่แล้ว

และเมื่อรัฐบาลในประเทศยากจนหลายประเทศไม่สามารถกู้เงินเพิ่มแล้ว จีนจึงหาทางเลี่ยงการรายงานหนี้ไปยังระบบรายงานหนี้ของธนาคารโลกด้วยการปล่อยเงินกู้ยืมให้บริษัทเอกชนในประเทศยากจนและประเทศรายได้ปานกลางเหล่านี้โดยใช้นิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPVs) แทนที่จะเป็นองค์กรของรัฐ ทำให้หนี้ที่กู้ยืมมาไม่อยู่ในบัญชีงบดุลของประเทศนั้นๆ แต่รัฐบาลจะต้องค้ำประกันหนี้ดังกล่าวและต้องชำระหนี้คืนหาก SPVs ไม่ชำระหนี้

รายงานยังระบุว่า ขณะนี้ 42 ประเทศมีหนี้สาธารณะที่กู้ยืมจากจีนสูงกว่า 10% ของจีดีพีประเทศ อาทิ โครงการรถไฟจีน-ลาวมูลค่า 5,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 1 ใน 3 ของจีดีพีของลาว ล้วนมาจากเงินที่เป็นหนี้ซ่อนเร้น

ขณะที่ลาวมีหนี้ซ่อนเร้น (Hidden debt) กับรัฐบาลจีนเกือบ 40% ของจีดีพี และหนี้รัฐบาล (Sovereign debt) อีกเกือบ 30% และมีโครงการลงทุนร่วมกับรัฐบาลจีน 20 โครงการ ส่วนไทยมีหนี้กับจีน 0.37 ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่เกิน 10% ของจีดีพี และมีโครงการร่วมทุนกับจีน 3 โครงการ

รายงานของ AidData ยังพบอีกว่า เงินกู้ของรัฐบาลจีนมีอัตราดอกเบี้ยสูงและมีระยะเวลาชำระหนี้คืนสั้น โดยยกตัวอย่างว่าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่จีนคิดกับปากีสถานสูงถึง 3.76% และต้องชำระคืนภายใน 13.2 ปี และมีระยะเวลาผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ 4.3 ปี

ขณะที่เงินกู้จากประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น มีอัตราดอกเบี้ย 1.1% และมีระยะเวลาชำระหนี้คืนนานถึง 28 ปี

แต่ถึงอย่างนั้น พาร์คเผยว่า ประเทศรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำอย่างปากีสถานก็ยังกู้เงินจากจีน เนื่องจากการกู้เงินผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจหรือกิจการร่วมค้าภายใต้เงื่อนไขว่าหนี้จะไม่อยู่ในบัญชีงบดุลของประเทศ เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยไม่มีข้อจำกัดด้านหนี้

Leave a comment