#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/likesara/606845

วันอังคาร ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2564, 19.20 น.
“…ผู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์วินัยมาก มีอุบายมากเป็นปริยายกว้างขวาง ครั้นมาปฏิบัติทางจิต จิตไม่ค่อยจะรวมง่าย ฉะนั้น ต้องให้เข้าใจว่า ความรู้ที่ได้ศึกษามาแล้วต้องเก็บใส่ตู้ ใส่หีบไว้เสียก่อน ต้องมาหัด ผู้รู้คือจิตนี้ หัดสติให้เป็นมหาสติ หัดปัญญาให้เป็นมหาปัญญา กำหนดรู้เท่ามหาสมบัติมหานิยม อันเอาออกไปตั้งไว้ว่าอันนั้นเป็นอันนั้นเป็นวันคืนเดือนปี เป็นดินฟ้าอากาศกลางหาว ดาวนักขัตฤกษ์ สารพัดสิ่งทั้งปวงอันเจ้าสังขารคืออาการจิต
หากออกไปตั้งไว้ บัญญัติไว้ว่า เขาเป็นนั้นเป็นนี้ จนรู้เท่าแล้วเรียกว่า กำหนดรู้ทุกข์ สมุทัย เมื่อทำให้มาก เจริญให้มาก รู้เท่าเอาทันแล้ว จิตก็จะรวมลงได้ เมื่อกำหนดอยู่ก็ชื่อว่าเจริญมรรคหากมรรคพอแล้ว นิโรธก็ไม่ต้องกล่าวถึงหากจะปรากฏชัดแก่ผู้ปฏิบัติเอง
เพราะศีลก็มีอยู่ สมาธิก็มีอยู่ ปัญญาก็มีอยู่ ในกาย วาจา จิตนี้ ที่เรียกว่า อกาลิโกของมีอยู่ทุกเมื่อ โอปนยิโกเมื่อผู้ปฏิบัติมาพิจารณาของที่มีอยู่ ปจฺจตฺตํ จึงจะรู้เฉพาะตัว คือมาพิจารณากายอันนี้ให้เป็นของอสุภะ เปื่อยเน่า แตกพังลงไปตามสภาพความเจริญของภูตธาตุ ปุพฺเพสุ ภูเตสุ ธมฺเมสุ ในธรรมอันมีมาแต่เก่าก่อน สว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนผู้มาปฏิบัติพิจารณาพึงรู้อุปมารูปเปรียบดังนี้
อันบุคคลผู้ทำนาก็ต้องทำลงไปในแผ่นดิน ลุยตมลุยโคลนตากแดดกรำฝนจึงจะเห็นข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวสุกมาได้ และได้บริโภคอิ่มสบายก็ล้วนทำมาจากของมีอยู่ทั้งสิ้นฉันใด ผู้ปฏิบัติก็ฉันนั้น เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ก็มีอยู่ในกาย วาจา จิต ของทุกคน …” โอวาทธรรม พระอาจารย์มั่น ภูริมัตโต – 003
คัดลอกจากหนังสือภูริทตฺตมหาเถรานุสรณ์ ขอบคุณลานธรรมจักร