ถอดฟิวส์ กทม. ต่อวีซ่า “อภิสิทธิ์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/566897

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 ม.ค. 2559 05:01

 

ศึกสายเลือด ปชป. “แต่งตัว” รับโรดแม็ปเลือกตั้ง

โลกเมืองไทยหยุดหมุนชั่วขณะกับการจากไปของพระเอกหนุ่ม “ปอ ทฤษฎี สหวงษ์”

ตามปรากฏการณ์ที่ผู้คนทุกวงการต่างร่วมแสดงความอาลัย กับการสูญเสียดาราน้ำดีของวงการที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระเอกทั้งในจอและนอกจอ

บรรยากาศของความโศกเศร้าเสียใจกลบกระแสอื่นซาลงไปโดยปริยาย

ในขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นสาระหลักสำคัญของกระบวนการตามโรดแม็ป คสช.

ตามความคืบหน้าของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยกคณะไปทำการยกร่างกันที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยกำหนดจะเปิดเผยร่างแรกให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นกันในวันที่ 29 มกราคมนี้

และมีการตั้งฉายาให้เลยว่า เป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “ปราบทุจริต”

แต่ก็เป็นอะไรที่เหมือนจะไม่ต้องรอให้ถึงวันโชว์โฉมอย่างเป็นทางการ เอาแค่ประเด็นแหลมๆคมๆที่ทีมงานโฆษกคณะกรรมการร่างฯแพลมๆออกมาชิมลางเท่านี้ก็ “เรียกแขก” กระตุกเสียงโห่ฮาไปทั้งบาง

ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร ส.ส.ต้องแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 3 คน ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อนวันเปิดรับสมัครเลือกตั้ง และต้องประกาศรายชื่อให้ประชาชนทราบ อีกทั้งไม่ได้ล็อกให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.

เลยถูกดักคอว่า เป็นการเปิดทางให้นายกรัฐมนตรีคนนอกกันเนียนๆ

หรือการให้องค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจในการพิจารณาร่วมกัน กรณีที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการในสิ่งที่ส่อว่าจะเกิดความเสียหายในระดับนโยบาย หากยังไม่ยุติแล้วเกิดผลเสียหายในที่สุด ถือเป็นความผิดของรัฐบาลต้องรับผิดชอบ

โดยเงื่อนไข ทำให้โดนตั้งแง่รัฐบาลในอนาคตอาจต้องบริหารภายใต้องค์กรอิสระ

ขณะที่ประเด็นการกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยในกรณีผ่าวิกฤติประเทศ ลักษณะเดียวกันซึ่งมาแทนที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.)

ก็ถูกระแวงว่าเป็นการสร้างเครื่องมือใหม่มาใช้แทนการรัฐประหารของกองทัพ

ยังไม่นับระบบการเลือกตั้ง ส.ส. วิธีการได้มาซึ่ง ส.ว.ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคิดวิธีซิกแซ็ก แต่ลักลั่นในสายตานักเลือกตั้งอาชีพที่มองคนร่างรัฐธรรมนูญไม่มีประสบการณ์

ร่างบนพื้นฐานของพวกไม่รู้พื้นฐานในทางปฏิบัติจริงๆ

ตามอารมณ์ที่นักการเมืองสะท้อนเป็นเสียงเดียวกัน “แสบ” ยิ่งกว่าฉบับของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่โดนคว่ำคะมำไป

หลายคนประกาศจุดยืนล่วงหน้าได้เลยว่า ไม่รับจับอาการ “นักเลือกตั้งอาชีพ” แทบทุกค่าย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย หันมาปรองดองกันชั่วขณะ ไม่เอาด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย” ที่เวนคืนอำนาจจากนักการเมือง

แนวโน้มการฝ่าด่านประชามติจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในอีกมุมหนึ่งก็มีบางฝ่ายมองลึกไปอีกชั้น ระแวงยุทธศาสตร์ของฝ่ายเสนาธิการของ คสช.ที่อาจจะเป็นความตั้งใจในการใส่ “ยาแรง” ใส่ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”

จงใจให้แท้งซ้ำเหมือนฉบับของ “บวรศักดิ์”

เพราะต้องไม่ลืมว่า ไพ่ใบสำคัญยังอยู่ในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. ในกรณีถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ก็สามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44 หยิบรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งฉบับใดมาปรับแก้ เพื่อประกาศเลือกตั้งได้เลย

โจทย์มาแบบไหน ล็อกกันได้ตามธง

ตรงนี้น่าจะเข้าเหลี่ยมมากกว่า ถ้ามองกันในมุมที่รัฐบาล คสช.จะเผื่อเกมยาวในการประคองความปลอดภัยหลังลงจากหลังเสือ

เรื่องของเกมยุทธ์ในการชิงอำนาจ ทหารไม่ได้ด้อยกว่านักการเมืองแน่

อย่างไรก็ดี แม้โดยสถานการณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับของนายมีชัยจะยังไม่ชัวร์ว่าจะออกมาในมุมไหน ฝ่าด่านประชามติได้หรือไม่ แต่ ณ วันนี้ก็ต้องถือว่าทุกอย่างยังดำเนินไปตามโรดแม็ป

ธงนำ คสช.ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

พล.อ.ประยุทธ์ยังยืนยันทุกเวทีว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องเกิดขึ้นในปีหน้า 2560

ตามสัญญาประชาคมที่ทั้งประชาชนคนไทยและนานาชาติต่างรับรู้โดยทั่วกัน

ประกอบกับบรรยากาศโดยทั่วไปก็เป็นอะไรที่ผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองเริ่มจะรู้สึกได้กับปัจจัยที่จะนำไปสู่สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลง

แรงเสียดทานรัฐบาลทหารเริ่มหนาแน่นขึ้นตามลำดับ

โดยเฉพาะกับจุดอ่อน สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่รัฐบาล คสช.ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาพืชผลเกษตรราคาตกต่ำ จนถึงจุดที่ชาวสวนยางพาราเคลื่อนไหวระดมม็อบใหญ่เพื่อเรียกร้องให้แก้ไขปัญหายางพาราตกไปเหลือ 3–4 กิโลร้อย ก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจเทงบประมาณเพื่อแทรกแซงราคา

ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้สถานการณ์รัฐบาลยิ่งเสี่ยงต่อปมคอร์รัปชันแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับเองเลยว่า กังวลต่อปัญหาการทุจริตในการรับซื้อยางพารา จึงต้องกำหนดกลไกการรับซื้อที่รัดกุม โดยเฉพาะการเวียนขายยางเก่าให้รัฐบาล

ส่ออาการขยาด เสียวพวกหลุดโกง

นั่นก็เพราะปมร้อนการทุจริตหัวคิวการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ยังเป็นแผลใหญ่ให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารคอยจ้องเขี่ยให้ติดเชื้อลามเป็นบาดทะยัก แถมยังมีปมไม่โปร่งใสโผล่ออกมาเป็นระยะเศรษฐกิจก็เหนื่อย ทุจริตก็หนัก
เงื่อนบรรยากาศเข้าสู่ห้วงปลายของอำนาจพิเศษ

แน่นอน ว่ากันตามเงื่อนเวลามาถึงตรงนี้ก็อยู่ในวิสัยที่พรรคการเมืองต่างๆจะได้ขยับแต่งตัวเตรียมพร้อมสำหรับลงสนาม หลังโดนล็อกไม่ให้ทำกิจกรรมมานานเกือบ 2 ปี

แทบจะง่อยเปลี้ยเสียขาเลยก็ว่าได้

และไม่ว่ากติกาใหม่จะออกมาอย่างไร ณ เบื้องนี้ก็ต้องถือว่า 2 พรรคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยก็ยังเป็น 2 ขั้วหลักในการชิงชัยกันในสนามเลือกตั้ง

ยังไม่เห็นวี่แววของพรรคที่สามจะโผล่มาเบียดแทรก

เรื่องของเรื่อง โดยการขยับออกตัวแรงกว่าใครและเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือคิวของค่ายเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งเสียงเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อก

ปล่อยไฟเขียวให้จัดกิจกรรมประชุมพรรคได้

ตามท้องเรื่องที่โยงต่อเนื่องกับ “ศึกสายเลือด” ภายในหมู่คนประชาธิปัตย์ ที่เปิดศึกกันเองกับทีมงานของ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ

นัยว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องการเคลียร์ปัญหาภายในจัดการกับทีมงานผู้ว่าฯ กทม.ที่แข็งข้อใส่แบบที่สุดท้ายเลยก็ไม่ต้องรอให้ คสช.ปล่อยไฟเขียวประชุมพรรค ล่าสุดนายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เปิดแถลงข่าวใหญ่

ประกาศ “ตัดหาง” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยืนยันพรรคประชาธิปัตย์เลิกสนับสนุนในทุกกรณี จากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการรับผิดชอบใดๆ

ด้วยเหตุผลที่อ้างกันอย่างเป็นทางการว่า จุดยืนของคณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีความแตกต่างจากผู้ว่าฯ กทม. โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในด้านความโปร่งใส

ตามจังหวะต่อเนื่องจากการที่นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.ของพรรค ออกมาแฉประจานปมทุจริตในหลายโครงการภายใต้การบริหารงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์และทีมรองผู้ว่าฯ กทม.

ทุบกันจนน่วม ขย่มกันจนเน่า ก่อนปลิดออกจากขั้ว

และก็สังเกตว่า นายจุติรีบชิงออกตัวเลยว่า การประกาศตัดขาดกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่เกี่ยวกับข่าวการตั้งพรรคการเมืองใหม่ หรือการไม่ส่งเงินบำรุงพรรคตามที่มีกระแสข่าวยุแยงให้แตกแยก

นั่นก็เพราะมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

ปฏิบัติการ “ตัดหาง” คุณชายสุขุมพันธุ์ มันเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับปรากฏการณ์ “ร้าวลึก” กระแสการพยายามเปลี่ยนหัวพรรคประชาธิปัตย์ เขี่ยนายอภิสิทธิ์พ้นจากหัวหน้าพรรค

แบบที่ตอนแรกมีชื่อของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เบียดขึ้นมาเสียบแทน โดยการสนับสนุนของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนฯ แต่ไม่มีกระแสขานรับ ก่อนที่ชื่อของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน มวยรุ่นใหญ่ของประชาธิปัตย์ จะเปิดมาให้ฮือฮา

ตอกย้ำความพยายามโละ “อภิสิทธิ์” มีอยู่อย่างจริงจัง

ตามสภาพของคนเก่ง ดี ไม่มีรอยด่างพร้อยกับปมทุจริต คุณสมบัติเฉพาะตัวครบแต่ภาพโดยส่วนรวมที่ถือเป็นคุณสมบัติของผู้นำทางการเมืองไทยในยุคพิเศษห้วงนี้ “อภิสิทธิ์” จัดอยู่ในข่ายคนไม่มีพวก ไม่เอาใคร อย่างที่ล้มเหลวมาในการตั้งรัฐบาลภายในค่ายทหารรอบที่แล้ว

รอบนี้ท็อปบูตเลยเข็ด ฝ่ายคุมเกมอำนาจพากันขยาด

โอกาสของพรรคประชาธิปัตย์จะถูกชูขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาลภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์” ก็แทบไม่มี

ซึ่งนั่นก็ทำให้อดีตนักเรียนนอก มหาบัณฑิตออกซ์ฟอร์ดจากเมืองผู้ดีอังกฤษต้องเปิดฉากสู้ ยื้อสถานะการนำประชาธิปัตย์ ด้วยการถอดฟิวส์คุณชายสุขุมพันธุ์

โชว์ภาพความผุดผ่องจากปมทุจริตคอร์รัปชัน

ย้อนศรขบวนการจ้องโละ พร้อมๆกับโชว์จุดขายที่พอจะเหลืออยู่

สานฝันกลับมาแก้ตัวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกรอบ.

“ทีมการเมือง”

Leave a comment