ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/197803
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แสดงท่าทีตอบรับหลังจากที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และเป็นหนึ่งในแกนนำคสช. เสนอแนวคิดให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางสร้างความปรองดองในชาติถือเป็นการส่งสัญญาณว่าคสช.กำลังจะผลักดันการสร้างความปรองดองอันเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเพื่อการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จภายในปีนี้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการสร้างความปรองดองหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมให้แก่คู่ขัดแย้งทุกกลุ่มทุกสีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤติทางการเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ประเด็นสำคัญและเป็นเรื่องอ่อนไหวก็คือการนิรโทษกรรมจะครอบคลุมบุคคลในระดับไหนบ้าง เพราะมีบทเรียนครั้งสำคัญมาแล้วกรณีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยโดยรัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่บงการโดย นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาล โดยมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐเคยเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านจนกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองมาแล้ว
ความจริงแล้วไม่มีใครในชาติที่ไม่อยากเห็นการปรองดอง แต่การปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติรัฐและความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งแบบอย่างการสร้างความปรองดองในชาติซึ่งประสบความสำเร็จเคยมีตัวอย่างให้เห็นในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแอฟริกาใต้ ขณะที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการอิสระและตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน และสถาบันพระปกเกล้าเคยศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองไว้แล้ว โดยเฉพาะคอป.เคยเสนอรายงานผลสรุปการศึกษาที่ใช้เวลาหลายปีให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ถูกโยนทิ้งตะกร้าอย่างไม่สนใจ ทั้งๆ ที่เป็นทางออกการสร้างความปรองดองที่เป็นประโยชน์สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับถูกปัดทิ้งเพียงเพราะไม่สนองตอบความต้องการของนายใหญ่ทักษิณที่มุ่งแต่จะลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองเป็นสำคัญ
ตามกรอบการสร้างความปรองดองที่คอป.และ สถาบันพระปกเกล้าศึกษาไว้มีแนวคิดที่สอดคล้องกันคือหากจะสร้างความปรองดองคู่กรณีที่ขัดแย้งจะต้องมานั่งโต๊ะเจรจากันอย่างเปิดอกเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงแห่งความขัดแย้ง โดยทุกฝ่ายต้องยอมรับความผิดของตัวเองเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต และผู้ที่ทำผิดต้องยอมรับโทษจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการนิรโทษกรรม
อีกทั้งการนิรโทษกรรมควรมุ่งลบล้างโทษความผิดให้เฉพาะมวลชนทุกสีทุกกลุ่มที่ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสงบสันติในช่วงที่ผ่านมา โดยต้องไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีอาญาหรือคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงร้ายแรง รวมทั้งความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เชื่อแน่ว่าทุกคนในชาติคงไม่ปฏิเสธ
ทั้งนี้การปรองดองต้องไม่ใช่เกิดจากการใช้วิธีการข่มขู่กดดันเพื่อให้ยกโทษความผิดแก่คนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินหรือบงการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนชาติพินาศย่อยยับ หรือใช้รัฐบาลหุ่นเชิดประชาธิปไตยจอมปลอมออกกฎหมายลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ
กรอบการนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองที่ถูกต้องชอบธรรมและเป็นไปได้จึงต้องอยู่บนหลักการที่ต้องยึดหลักนิติรัฐ ดังที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ 2 สมัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เคยกล่าวไว้ว่า “การปรองดองต้องไม่ใช่ทำผิดให้เป็นถูก” มิฉะนั้นแล้วแทนที่จะสร้างความปรองดองกลับจะเป็นชนวนนำไปสู่วิกฤติทางการเมืองรอบใหม่
ดังนั้นการสร้างความปรองดองด้วยการนิรโทษความผิดให้คนทุกสีทุกกลุ่มทางการเมืองให้สำเร็จเสียทีเพื่อประเทศจะได้เดินหน้าไปได้อย่างยั่งยืนจึงถือเป็นปัญหาท้าทายและอ่อนไหวสำหรับคสช.และรัฐบาลซึ่งหากไม่ยึดหลักนิติรัฐและความถูกต้องชอบธรรมแทนที่จะแก้ปัญหากลับจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติที่ร้ายแรงกว่า อีกทั้งการที่จะสร้างความปรองดองอย่างยั่งยืนยังต้องขจัดธุรกิจการเมืองและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยอันชั่วร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุรากเหง้าของความแตกแยกในชาติ
มิฉะนั้นวังวนวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองรอบใหม่ก็ยังจะวนเวียนกลับมาและจบลงด้วยการรัฐประหารกลายเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซากไม่รู้จบ
ทีมข่าวการเมือง