“สตรีเหล็ก” กับบ่าที่หนักอึ้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

http://www.thairath.co.th/content/573571

โดย บวร โทศรีแก้ว 7 ก.พ. 2559 05:01

 

ศักราชใหม่–ส.ส.เมียนมาเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก ที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อ 1 ก.พ. หลังนางออง ซาน ซูจี นำพรรคเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้งเมื่อ 8 พ.ย.2558 ถล่มทลาย คว้าที่นั่งในสภาเกือบ 80% (เอเอฟพี)

“เมียนมา” พัฒนาไปอีกก้าวใหญ่ เมื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งถล่มทลายเมื่อ 8 พ.ย.2558 ได้จัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี แทนรัฐบาลทหารกึ่งพลเรือน ซึ่งมีประธานาธิบดีเต็ง เส่ง เป็นผู้นำ

เมียนมาเพิ่งเปิดประชุมรัฐสภา (ลูตตอ) ชุดใหม่เป็นครั้งแรก ที่กรุงเนปิดอว์ ทั้งการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ปีตูลูตตอ) เมื่อ 1 ก.พ. และวุฒิสภา (อะเมียวตาลูตตอ) เมื่อ 3 ก.พ. ทั้ง 2 สภามีสมาชิกรวมกัน 664 ที่นั่ง

แต่ใน 664 ที่นั่งนี้ มาจากการเลือกตั้งแค่ 498 ที่นั่ง ที่เหลือเป็นโควตาทหาร 25% และใน 498 ที่นั่งนี้เป็นของพรรคเอ็นแอลดีถึง 390 ที่นั่ง หรือเกือบ 80% นับเป็นศักราชใหม่ของเมียนมาซึ่งเพิ่งรู้จัก “ประชาธิปไตย” ใน 14 ปีหลัง หลังจากถูกปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ ถูกอังกฤษยึดครอง และอยู่ใต้ท็อปบูตรัฐบาลทหารมานับพันปี

ในช่วงนี้ พรรคเอ็นแอลดีกำลังเร่งจัดตั้งรัฐบาล ก่อนขึ้นกุมอำนาจ ใน 1 เม.ย.นี้ ก่อนหน้านั้นมีการเลือกประธานสภาผู้แทนฯ และประธานวุฒิสภา ก่อนจะเลือกประธานาธิบดี ซึ่งคงยังไม่ใช่นางซูจี เพราะรัฐธรรมนูญฉบับทหารปี 2551 ห้ามผู้ที่มีคู่สมรสและลูกเป็นชาวต่างชาติเป็นประธานาธิบดี

ซูจี วัย 70 ปี ประกาศชัดว่าเธอจะ “อยู่เหนือประธานาธิบดี” แต่ชาวโลกก็ยังลุ้นว่าเธอจะชูใครขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด ซึ่งผู้ที่ถูกจับตา รวมทั้ง นายถิ่น อู อดีต ผบ.สส.สมัยรัฐบาลเน วิน ผู้ร่วม ก่อตั้งพรรคเอ็นแอลดีหลังประชาชนลุกฮือประท้วงรัฐบาลทหารแบบนองเลือดในปี 2531 แต่ถิ่น อู ก็อายุเกือบ 90 ปีแล้ว

อีกคนคือ นายถิ่น เมียว วิน วัย 64 ปี คนสนิทและแพทย์ประจำตัวของซูจี ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่คนที่เข้าพบซูจีได้ในช่วงถูกกักบริเวณในบ้านพักนาน 15 ปี แต่เขาไม่มีปูมหลังด้านการทหาร อาจทำงานกับกองทัพได้ยาก

ผู้ที่อาจเป็น “ม้ามืด” รวมทั้งนางซู ซู ลวิน ส.ส.พรรคเอ็นแอลดี ลูกสาวของอู ลวิน อดีต เลขาธิการพรรคเอ็นแอลดี หรือนายฮติน คยอว์ สามีของเธอ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับซูจี และนายวิน เต็ง โฆษกพรรคเอ็นแอลดี ไปจนถึงสุระ ฉ่วย มาน ประธานสภาผู้แทนฯคนปัจจุบัน ซึ่ง เพิ่งปีนเกลียวกับฝ่ายทหารหลังมาใกล้ชิดกับซูจี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จะให้ใครเป็นประธานาธิบดี กองทัพและพลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย อดีตผู้นำสูงสุด ซึ่งยังมีอิทธิพลสูงต้องเห็นชอบด้วย ดังนั้น ซูจีจึงต้องประนีประนอมกับกองทัพ เพื่อให้การถ่ายโอนอำนาจราบรื่น

พักหลังๆ ซูจีประชุมกับเหล่าผู้นำทหารบ่อยๆ จนหลายคนห่วงว่าเธอจะพึ่งพิงกองทัพมากเกินไปหรือไม่ ถ้าอ่อนข้อให้ทหารมากไป เช่น ให้ทหาร เข้ามาร่วมคณะรัฐมนตรี รัฐบาลเอ็นแอลดีอาจถูกครอบงำ ซึ่งนั่นอาจทำให้ฝ่ายที่เกลียดชังทหารหวาดระแวง โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อย ที่เคยถูกทหารกดขี่เข่นฆ่ามายาวนาน

คงต้องรอดูฝีมือซูจีว่าจะโน้มน้าวให้ทหารคายอำนาจและสนับสนุนรัฐบาลใหม่ได้แค่ไหน โดยเฉพาะจะทำให้ทหารซึ่งยังคุมกระทรวงหลักตามรัฐธรรมนูญ ทั้งกลาโหม มหาดไทย และความมั่นคงชายแดน ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ รวมทั้งมาตราที่ห้ามซูจีเป็นประธานาธิบดี

ส่วนภารกิจของซูจีและรัฐบาลใหม่ในยุคฟื้นฟูเศรษฐกิจและการเมืองก็เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะถึงแม้นานาชาติยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรแล้ว ทำให้การลงทุนไหลทะลักเข้าไป แต่เมียนมายังเป็นหนึ่งในชาติยากจนที่สุดในโลก ยังพึ่งการเกษตรเป็นหลัก ระบบการศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐานยังย่ำแย่รอการพัฒนาอีกมาก

ความหวัง–นางออง ซาน ซูจี พร้อมส.ส.ลูกพรรคเอ็นแอลดี เดินออกจากสภาฯ หลังการประชุมสภาผู้แทนฯ นัดแรก ที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อ 1 ก.พ. ก่อนเอ็นแอลดีตั้งรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางความคาดหวังที่สูงมาก (เอพี)

เรื่องการ “คอร์รัปชัน” ในเมียนมาก็ยังแพร่หลาย โดยองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ (ทีไอ) จัดอันดับดัชนีคอร์รัปชันโลกล่าสุด เมียนมาติดอันดับ 147 จากทั้งหมด 168 ประเทศ

อีกปัญหาใหญ่ที่น่าหนักใจแทนซูจีก็คือ บุคลากรของพรรคเอ็นแอลดีที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลส่วนใหญ่ไร้ประสบการณ์ทางการเมืองและการบริหาร ตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมา 28 ปี มีเพียงถิ่น อู อดีต ผบ.สส. ที่มีชื่อชั้นถึงขั้นเป็น ผู้นำระดับชาติได้ แต่เขาก็แก่เหลาเหย่แล้ว

ซูจีเองก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นผู้นำ บางคนชี้ว่าเอ็นแอลดีหาใช่พรรคประชาธิปไตยไม่ เพราะมีซูจีชี้นำแต่ผู้เดียวมายาวนาน เสมือน “ผู้นำเผด็จการในรูปประชาธิปไตย” สมาชิกพรรคมักจะเออออตามเธอตลอด

นอกจากนี้ พวกผู้นำทหารและบริวารยังกุมอำนาจทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศอยู่อย่างเหนียวแน่น การพัฒนาเศรษฐกิจถ้าพวกทหารไม่ร่วมด้วยช่วยกันก็รุดหน้าไปได้ยาก

ส่วนปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ แม้หลายกลุ่มลงนามข้อตกลงหยุดยิงแล้ว แต่อีกหลายกลุ่มยังเดินหน้าสะสมอาวุธพร้อมสู้รบ เพราะยังหวาดระแวงรัฐบาลใหม่ซึ่งชนกลุ่มน้อยเห็นว่าทหารยังมีอำนาจอยู่

ในนโยบายต่างประเทศ รัฐบาลใหม่ของซูจีต้องปรับความสัมพันธ์กับ “จีน” และ “มหาอำนาจตะวันตก” ให้สมดุล ถ้าเอียงไปทางสหรัฐฯและยุโรปมากเกินไป อาจผิดพ้อง–หมองใจกับจีนชาติเพื่อนบ้านที่สนับสนุนรัฐบาลทหารมายาวนาน และเข้าไปลงทุนในเมียนมาเยอะมาก

ภารกิจของซูจีจึงหนักอึ้งยิ่งกว่าสมัยเป็นฝ่ายค้านหลายเท่า ขณะที่ถูกคาดหวังสูงมาก…

ยังไงๆ ก็ขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้ “วีรสตรีประชาธิปไตย” ประสบความสำเร็จ!

บวร โทศรีแก้ว

Leave a comment