ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/581647
โดย คุณนิติ นวรัตน์ 25 ก.พ. 2559 05:01

ไปปัตตานีปลายสัปดาห์นี้ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ มีพูด 2 รอบ
รอบแรก Dinner Talk เย็นวันศุกร์ ที่โรงแรม ซี เอส ปัตตานี
รอบสอง เช้าวันเสาร์ ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู เป็นประธานจัดงาน ทราบว่ามีคนมาร่วมงานถึง 2,000 คน ซึ่งเชิญ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิปาฐกถาพิเศษ “ก้าวข้าม 100 ปี สหกรณ์ไทย…?” ตั้งแต่ 10.30-12.00 น. ที่อาคารอเนกประสงค์ สนามกีฬากลางจังหวัดปัตตานี ท่านใดสนใจก็ไปฟังได้ครับ
อังคารที่ผ่านมา ผมรับใช้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะมีในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 โดยเขียนว่า “แต่การเลือกตั้งสหรัฐฯ ผู้ที่ได้เสียงประชาชนมากที่สุด ใช่ว่าจะได้เป็นประธานาธิบดีเสมอไป”
ที่เขียนอย่างนี้ เพราะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ใช่วัดกันที่เสียงของประชาชน หรือ popular votes พอพพูลาร์ โหวตส์ แต่วัดกันที่จำนวนเสียงจาก electoral college อิเล็คเทอรัล คอลเลจ หรือคณะผู้เลือกตั้งที่มีทั้งหมด 538 คน ใครได้เสียงมากกว่าใน 538 คนนี้ คนนั้นก็ได้เป็นประธานาธิบดี
ผู้อ่านคงจะนึกถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ค.ศ.2000 หรือ พ.ศ.2543 ประชาชนทั้งประเทศเทคะแนนให้นายอัล กอร์ ผู้สมัครจากพรรคเด็มโมแครต 50,999,897 คะแนน (48.4%) และเทให้นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน เพียง 50,456,002 คะแนน (47.9%)
นายกอร์ได้คะแนนมากกว่านายบุช 543,895 คะแนน นี่ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะต้องชื่อนายอัล กอร์ ทว่าก็อย่างที่ผมเรียนไปแล้วนะครับ ว่าคนเลือกประธานาธิบดีจริงๆมาจากคณะผู้เลือกตั้งเพียง 538 คน ใครได้คะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด ซึ่งก็คือได้มากเกินกว่าครึ่งหนึ่ง หรือเกินกว่า 269 ก็เป็นผู้ชนะไป
ทุกรัฐนับคะแนนเสร็จหมดแล้ว ยกเว้นรัฐฟลอริดาซึ่งน้องชายของนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่ชื่อนายเจบ บุช เป็นผู้ว่าการรัฐเพียงรัฐเดียวที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จ ยังยึกยักๆ ขณะที่รอผลของรัฐฟลอริดานั้น นายกอร์ได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไปแล้ว 266 เสียง ส่วนบุชได้ 246 เสียง
ทว่า เมื่อผลการนับคะแนนของรัฐฟลอริดาออกมา ปรากฏว่าคะแนนทั้งหมดของคณะผู้เลือกตั้งจากรัฐฟลอริดาตกเป็นของบุช เมื่อไปบวกกับ 246 คะแนนเดิมของบุชทำให้บุชได้ electoral vote ถึง 271 คะแนน ชนะกอร์และได้เป็นประธานาธิบดีไปในที่สุด
คณะผู้เลือกตั้งในอเมริกาที่เรียกว่า Electoral College นี่มีจำนวน 538 คน 48 รัฐในอเมริกาใช้ระบบ WTA หรือ Winner-take-all วินเนอร์ เทคส์ ออล ซึ่งเป็นระบบที่ให้คะแนนผู้เลือกตั้งทั้งหมดกับผู้สมัครที่ได้รับเสียงข้างมากในรัฐนั้นๆ (มีเพียง 2 รัฐ ที่ใช้ระบบ CD หรือ Congressional district method ซึ่งเป็นระบบที่แบ่งคะแนนผู้เลือกตั้งออกเป็น 2 ส่วน ซึ่งเรื่องระบบ CD ผมจะขออนุญาตมาอธิบายทีหลังนะครับ)
แต่ละรัฐมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน จะมีได้กี่คนก็เอาจำนวน ส.ส.ของรัฐนั้น + ส.ว. แคลิฟอร์เนียมีคณะผู้เลือกตั้งได้ 55 คน เท็กซัส 38 นิวยอร์ก 29 ส่วนรัฐที่มีประชากรน้อยๆ ก็จะมีคณะผู้เลือกตั้งน้อย เช่น มอนแทนาได้แค่ 3 คน แอริโซนา 5 คน ฯลฯ
ผมสมมติตัวเลขกลมๆ เพื่ออธิบายระบบวินเนอร์ เทคส์ ออล ให้เข้าใจกันง่ายๆกันนะครับ สมมติว่าในรัฐแคลิฟอร์เนียมีประชาชน 1,000,000 คน มีคณะผู้เลือกตั้งได้ 55 คน มีคนไปลงคะแนนให้นายกอร์ 500,001 คน ให้นายบุช 499,999 คน
ระบบวินเนอร์ เทคส์ ออล นายกอร์จะได้ผู้เลือกตั้งไปทั้งหมด 55 คน ส่วนนายบุชได้ 0 คน ผู้ชนะ แม้จะชนะเพียง 1 คะแนน ก็เอาเสียงไปทั้งหมดเลย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมคนที่ได้คะแนนเสียงประชาชนมากที่สุด บางครั้งจึงไม่ได้เป็นประธานาธิบดี อย่างใน ค.ศ.1876 นายแซมวล ทิลเดน ได้คะแนนประชาชน 4,300,590 คะแนน นายรูเธอร์ฟอร์ด บี. เฮยส์ ได้เพียง 4,036,298 คะแนน ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่น นายทิลเดนก็ต้องเป็นประธานาธิบดีใช่ไหมครับ แต่ที่สหรัฐอเมริกาไม่ใช่! นายเฮยส์กลับได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ เพราะได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 185 ขณะที่นายทิลเดนได้ 184
หรืออย่างใน ค.ศ.1888 นายโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้เสียงประชาชน 5,540,309 คะแนน นายเบนจามิน แฮร์ริสัน ได้เพียง 5,439,853 คะแนน แต่ปรากฏว่านายแฮร์ริสันได้เป็นประธานาธิบดี เพราะได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งถึง 233 ในขณะที่นายคลีฟแลนด์ได้เพียง 168
ผมนำเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแหย่แทรกไปเรื่อยๆ เพราะอยากให้ผู้อ่านท่านที่เคารพได้สนุกกับมหกรรมการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาครับ.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand