ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/204437
การเปิดหน้าดับเครื่องชนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติผีโม่แป้งขาประจำคือวอลล์สตรีทเจอร์นัลและไฟแนนเชียลไทม์ตามด้วยสื่อต่างชาติอีกหลายสำนักแบบรายวันของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลซึ่งป้วนเปี้ยนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ด้วยการโจมตีอำนาจรัฐปัจจุบันอย่างรุนแรงว่ากำลังจัดฉากร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันกลับส่งสัญญาณแบะท่าว่าพร้อมเจรจากับผู้คุมอำนาจรัฐโดยอ้างว่าเพื่อให้ชาติบ้านเมืองเกิดความสงบและเดินหน้าต่อไปได้
ทั้งนี้นับเป็นการแสดงท่าทีเปิดตัวขอเจรจากับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)อย่างชัดเจนของ ทักษิณ นับตั้งแต่มีการยึดอำนาจของคสช. เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามดิ้นรนภายใต้สถานการณ์ของเครือข่ายระบอบทักษิณตลอดจนพันธมิตรคือสำนักธรรมกายที่กำลังใกล้พ่ายแพ้ในทุกแนวรบ
แต่เป้าหมายสำคัญที่คาดว่า ทักษิณ วิตกที่สุดก็คือคนในตระกูลชินที่กำลังจะประสบชะตากรรมอาจถึงขั้นติดคุกและถูกยึดทรัพย์มูลค่ามหาศาลนั่นคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวที่กำลังเผชิญวิบากกรรมในฐานะจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและสร้างความล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท
ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตของทักษิณ อาจจะถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินในคดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้กับเครือบริษัทกฤษดามหานครมูลค่านับหมื่นล้านบาท
ทั้งคดีโครงการรับจำนำข้าวและคดีแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ให้กับเครือบริษัทกฤษดามหานครยังโยงไปถึงคนในตระกูลชินและคนใกล้ชิดอีกหลายคน
ยังไม่รวมคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯหุ่นเชิด น้องเขยของทักษิณ เมื่อปี 2551 ทำให้ประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม
และเมื่อพิจารณาศักยภาพกำลังรบของขบวนการระบอบทักษิณในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าอ่อนพลังลงตามลำดับหลังจากที่ถูกคสช.กวาดล้างกดดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความหวังเดียวสำหรับระบอบทักษิณที่จะฟอกโทษความผิดของตัวเองและกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้งก็คือ การเอาชนะในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ไม่แน่นอนและเลือนรางเพราะภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.ที่กำลังเดินหน้าปฏิรูปประเทศอย่างเข้มข้นด้วยวิธีการทุกรูปแบบ และผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่กำหนดมาตรการคาดโทษการทุจริตทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งอย่างรุนแรง รวมทั้งการออกแบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่ทำให้พรรคใหญ่หมดโอกาสที่จะกวาดจำนวนสส.ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนที่ผ่านมาทำให้พรรคเพื่อไทยคงยากที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อย่าว่าแต่มีรายงานข่าวว่า อดีต สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยที่คิดแปรพักตร์เตรียมย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่นเพราะรู้ว่าระบอบทักษิณและตระกูลชินนับวันมีแต่เดินไปสู่การล่มสลาย
นอกจากนี้ ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่คาดว่าจะมีการออกแบบให้มีองค์กรพิเศษคอยเป็นพี่เลี้ยงรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเพื่อวางรากฐานประคับประคองประเทศภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่คสช.กำหนดไว้เพื่อให้เป็นไปด้วยความราบรื่น
อย่างไรก็ตามการออกมาเดินเกมสู้แบบหลังพิงฝาของ ทักษิณ ทั้งด้วยการกดดันพร้อมกับแบะท่าขอเจรจาสงบศึก ในขณะเดียวกันกลับถูกคนสำคัญในรัฐบาลเรียงหน้าออกมาบอกปัดอย่างสิ้นเชิงแบบไม่ให้ราคา ทักษิณ แม้แต่น้อย โดยเฉพาะพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล โดยชี้ว่า ทักษิณ อยู่ในฐานะนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพราะฉะนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเจรจาต่อรอง ถ้าเห็นแก่ชาติบ้านเมืองและเป็นนักประชาธิปไตยจริงต้องเลิกหนีแล้วยอมกลับมาติดคุกตามคำพิพากษาศาลและสู้คดีอื่นๆ อีกมากมายตามกระบวนการยุติธรรม หากไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมก็ถือเป็นบุคคลไร้เครดิตเพราะทำตัวอยู่เหนือกฎหมายจึงไม่มีสิทธิขอเจรจา
พล.ต.สรรเสริญ ยังตอบโต้อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกอย่างเจ็บแสบว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร่างขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน การเรียกร้องให้มีการเจรจาจนกลุ่มการเมืองพอใจร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นการสำคัญผิดคิดว่านักการเมืองสำคัญกว่าประชาชน ทั้งๆ ที่ผ่านมา ประเทศเสียหายทั้งจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้กำลังก่อความวุ่นวายล้วนเกิดจากนักการเมืองใหญ่บางคนเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น การเรียกร้องให้เจรจาจึงเป็นตลกร้ายที่รับไม่ได้ อีกทั้งการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปราบคนโกงก็ไม่ควรให้คนโกงมาร่วมร่างหรือเจรจาจนคนโกงพอใจ
เพราะฉะนั้นภายใต้สถานการณ์จากนี้ไปสำหรับการสู้แบบหลังพิงฝาเลือดเข้าตาของเครือข่ายระบอบทักษิณคล้ายสัญญาณเริ่มต้นก่อนเกิดเหตุการณ์ก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2552 ตามด้วยเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาประเทศปี 2553 ขณะที่คสช.แสดงท่าทีชัดเจนแข็งกร้าวใช้มาตรการทางกฎหมายขจัดคนเลวและมุ่งมั่นเดินหน้าปฏิรูปวางรากฐานประเทศ ดังนั้นจากนี้ไปอะไรจะเกิดคงต้องเกิดภายใต้ศึกชนช้างที่เข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ
ทีมข่าวการเมือง