ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/203382
ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่กำลังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่หลังจากที่ก่อนหน้านี้เครือข่ายพุทธศาสนนิกชนภายใต้การนำของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) รวมทั้งหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม รวบรวมรายชื่อชาวพุทธกว่า 5 แสนคนยื่นต่อรัฐบาลและหลายหน่วยงานเพื่อคัดค้านการผลักดันพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นพระอุปปัชฌาย์ของพระธัมมชโย เจ้าสำนักธรรมกาย ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เนื่องจากมีจริยวัตรที่ไม่สง่างามตามพระธรรมวินัยและตามหลักกฎหมาย
การออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการผลักดัน สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสังฆราชองค์ที่ 20 มีขึ้นหลังจากจากที่มหาเถรสมาคม(มส.)ซึ่งมี สมเด็จช่วง เป็นประธานและถูกตั้งข้อสังเกตว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและผลประโยชน์ของสำนักธรรมกายแอบประชุมลับแล้วมีมติเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ากิจของสงฆ์นั้นไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหากไม่มีอะไรซ่อนเร้นก็ควรประชุมอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจซึ่งจากความไม่สง่างามในการผลักดัน สมเด็จช่วง ขี้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่ทำให้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ถึงกับประกาศเดิมพันพร้อมสละผ้าเหลือง
ทั้งนี้ สมเด็จช่วง ซึ่งนอกจากมีฐานะเป็นอาจารย์ของ พระธัมมชโย แล้ว ยังเคยประกาศว่าวัดปากน้ำและวัดธรรมกายเกื้อกูลกันเสมือนหนึ่งเป็นวัดเดียวกัน ที่สำคัญมส.ซึ่งมี สมเด็จช่วง เป็นประธานก่อนหน้านี้มีมติให้ พระธัมมชโย พ้นผิดไม่ปาราชิกพ้นความเป็นพระซึ่งขัดต่อพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ที่เคยมีพระบัญชาให้ พระธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่เมื่อปี 2542 ฐานประพฤติผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงเผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนสวนทางกับคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท และล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ก็เพิ่งสรุปผลสอบสวนชี้ชัดตอกย้ำว่า พระธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระและส่งเรื่องให้ มส.ดำเนินการ แต่ มส.กลับนิ่งเฉย
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ซึ่งตาม พ.ร.บ.สงฆ์ จะเป็นผู้ที่กลั่นกรองรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ก่อนทูลเกล้าฯต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามขั้นตอนได้ออกมาส่งสัญญาณว่า ต้องไปแก้ปัญหาความขัดแย้งให้จบเสียก่อน ถ้ายังขัดแย้งก็จะไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
ขณะที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลปัญหาด้านศาสนาแสดงท่าทีว่า การที่จะนำรายชื่อผู้สมควรเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯรัฐบาลจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ เพราะไม่บังควรที่จะโยนภาระไปให้องค์เหนือหัว ส่วนระยะเวลาการเสนอชื่อนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งด้านกฎหมาย ประเพณีตลอดจนความคาดหมายของประชาชน ซึ่งในอดีตเคยมีการว่างเว้นการแต่งตั้งพระสังฆราชนานถึง 37 ปี
จากกระแสคัดค้าน สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสังฆราชองค์ใหม่ ตลอดจนท่าทีของ ดร.วิษณุ ซึ่งถูกตีความว่าอาจจะไม่มีการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นพระสังฆราชในเวลาอันใกล้ ปรากฏว่า พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาข่มขู่กดดันรัฐบาลให้เร่งรีบเสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นพระสังฆราชโดยเร็วที่สุด โดยหากพบว่ารัฐบาลพยายามดองเรื่องม็อบสงฆ์ทั่วประเทศจะออกมาแสดงพลังสังฆามติ
สำหรับสงฆ์ทั่วประเทศในปัจจุบันถูกตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนไม่น้อยถูกกลืนด้วยลาภ ยศ ผลประโยชน์ภายใต้อิทธิพลของสำนักธรรมกายซึ่งเป็นพันธมิตรกับระบอบทักษิณ ดังนั้น หากมีการก่อม็อบผ้าเหลืองทั่วประเทศเพื่อผลักดันให้เสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชโดยเร็วก็คาดว่า สำนักธรรมกายรวมทั้งกลุ่มเสื้อแดงและเครือข่ายระบอบทักษิณจะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทั้งทางตรงและทางอ้อม ขณะที่พลังพุทธศาสนิกชนและประชาชนที่คัดค้านการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน
ล่าสุดการออกมาแสดงพลังของม็อบผ้าเหลืองที่พุทธมณฑลโดยมีสำนักธรรมกายและระบอบทักษิณหนุนหลังเพื่อกดดันอำนาจรัฐให้เสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็วที่สุดถือเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นของการเปิดศึกแตกหัก
ดังนั้นปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่อันเป็นเรื่องอ่อนไหวจึงเป็นชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ต้องจับตาเพราะอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติผ้าเหลือง ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตความมั่นคงของชาติจากการต่อสู้ระหว่างพลังพุทธศาสนิกชนที่ยึดมั่นในความดีความถูกต้องกับพลังของเหล่าอลัชชีในคราบผ้าเหลือง