ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/583548
โดย คุณนิติ นวรัตน์ 29 ก.พ. 2559 05:01

26 กุมภาพันธ์ 2559 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ผมบังเอิญเจอกับนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม. เขตบึงกุ่ม-คันนายาว ซึ่งกำลังพา น.ส.ไพลิน เกียงขวา อายุ 26 ปี ผู้พิการตาบอดจากการใส่คอนแท็กเลนส์บิ๊กอาย จนมองไม่เห็นทั้งสองข้างตั้งแต่อายุ 18 ปี ไปมอบตัวตามหมายจับศาลจังหวัดกระบี่ ข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายกับผู้อื่น”
คุณไพลินคุยให้ผมฟังว่า เธอตาบอดจึงไม่ได้เล่นเฟซบุ๊ก และไม่เคยรับรู้เรื่องที่โพสต์อะไรนี่เลย เมื่อได้รับหมาย ทางครอบครัวตกใจและไปขอความช่วยเหลือกับคุณพลภูมิ
วันรุ่งขึ้น ผมอ่านข่าวจากไทยรัฐออนไลน์ ก็จึงทราบความคืบหน้าว่า คุณพลภูมิใช้เงิน 50,000 บาท ประกันตัวคุณไพลินออกมาสู้คดี คุณไพลินโดนแจ้งความว่า ไปแชทด่าทอ หลังจากพูดคุยกันเรื่องตุ๊กตาลูกเทพ จนทำให้เกิดความเสียหาย
เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารพัฒนาทุกเวลานาที แต่กฎหมายยังตามไม่ทัน แม้แต่นักกฎหมายสหรัฐฯก็ยังยอมรับว่ากฎหมายของตนต้องแก้ไขเพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ผู้ใช้ Facebook 162.9 ล้านคน Instagram 89.4 ล้านคน Twitter 56.8 ล้านคน Pinterest 54.6 ล้านคน และ Tumblr 23.2 ล้านคน
ตั้งแต่ที่เจอกันตรงจุดเช็กอินของสนามบิน เราเดินไปจนถึงเกตขาออกที่อยู่ติดกัน ผมเห็นคุณไพลินช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีคนจูงเดิน จากสามัญสำนึกธรรมดา ไม่ต้องใช้การสืบสวนอย่างใดมาพิสูจน์ ก็พอมองออกแล้วว่า คนตาบอดอย่างคุณไพลินจะไปเขียนลงในเฟซบุ๊กได้อย่างไร ก็จึงอาจเป็นไปได้ ที่มีคนเอาชื่อของคุณไพลินไปเล่นเฟซบุ๊ก
โชคดีนะครับ ที่ครอบครัวของคุณไพลินอยู่ในเขตบึงกุ่ม-คันนายาว ที่มีอดีต ส.ส.พลภูมิให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลออกค่าใช้จ่ายและค่าเครื่องบินให้ แถมยังบินไปประกันตัวให้เรียบร้อย ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างนี้ ประเทศไทยของเราก็จะมีกรณีคนตาบอดถูกจับกุมคุมขังข้อหาเขียนเฟซบุ๊ก ซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลก แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ช่วยไม่ได้ เพราะตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย โลกต้องโทษกฎหมายที่เดินช้ากว่าเทคโนโลยี
หลายครั้งที่มีคนเอาบทความจากเปิดฟ้าส่องโลกเพียงหนึ่งย่อหน้า ไปเขียนต่อเติมเสริมตัวอักษรเป็นบทความขนาดยาวแล้วส่งต่อกันไปเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนที่อ่าน โชคดีที่ผมมีคอลัมน์ที่ผมสามารถแสดงแถลงความคิดของตนสู่โลกได้ทุกวัน ทำให้ผู้ที่ได้รับข่าวสารเข้าใจได้ว่า ข้อความที่ถูกตัดต่อเปลี่ยนแปลงและปลอมไปจากคอลัมน์เดิมนั้น ไม่ใช่มาจากผมแน่
แต่ลองนึกถึงคนที่ไม่มีคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ ไม่มีหนทางป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงของตนเอง ท่านเหล่านี้ถูกสังคมตำหนิ หรือบางครั้ง ถูกกฎหมายลงโทษโดยที่ไม่ได้ทำความผิด
ไทยมีพลเมือง 68 ล้านคน มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต 38 ล้านคน คิดเป็น 56% ของประชากร และมีผู้ใช้โซเชียลมีเดีย 38 ล้านคนเช่นกัน โดยใช้โซเชียลมีเดียผ่านมือถือ 34 ล้านคน ผมอ่านจาก We Are Social ดิจิทัลเอเจนซีในสิงคโปร์ซึ่งรวบรวมสถิติและสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคการใช้อินเตอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียจากหลายประเทศทั่วโลก พบว่า ปัจจุบันคนไทยสั่งซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์มากถึง 44% ผ่านแล็ปท็อป หรือคอมพิวเตอร์ 39% และผ่านสมาร์ทโฟน 31%
คนไทยใช้สมาร์ทโฟน 47 ล้านคน คิดเป็น 69% ของประชากร มีหมายเลขโทรศัพท์ที่จดทะเบียนทั้งหมด 82.8 ล้านเบอร์ คิดเป็น 122% ของประชากร ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตโตขึ้น 21% โซเชียลมีเดียโตขึ้น 19% และจำนวนผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กบนสมาร์ทโฟนโตขึ้น 21%
แพลตฟอร์มที่คนไทยใช้มากที่สุดคือ Facebook รองลงมาคือ Line ต่อไปคือ Facebook Messenger, Google+ และ Instagram
ประเทศของเราวันนี้ ไม่เหมือนเมืองไทยใน พ.ศ.2500
ถึงเวลาแล้วหรือยังครับ ที่เราจะต้องแก้ไขกฎหมายด้านนี้เป็นระยะ และต้องมีตำรวจ อัยการ ศาล ฯลฯ ผู้มีความเชี่ยวชาญชำนาญเฉพาะด้านโซเชียลมีเดีย ไม่เช่นนั้น พลเมืองไทยของเราจำนวนไม่น้อย อาจจะต้องมีความทุกข์จากการใช้เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารสมัยใหม่.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand