ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/583972
โดย คุณนิติ นวรัตน์ 1 มี.ค. 2559 05:01

Regional Comprehensive Economic Partnership ที่เราเรียกย่อๆ ว่า RCEP อาร์เซ็ป ซึ่งหมายถึง อาเซียน+6 เป็นการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน 10 ประเทศกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียนอีก 6 ประเทศ ที่แต่เดิมคาดว่าจะบรรลุการเจรจาในปลาย พ.ศ.2558 แต่โดนนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ของมาเลเซียบอกเลื่อนไปแล้วครับ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อปีที่แล้ว
อาเซียน+6 ผมหมายถึง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม ลาว เมียนมา จีน เกาหลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอินเดีย มีประชากรรวมกัน 3,500 ล้านคน หรือคิดเป็น 50% ของประชากรโลก มีมูลค่าการค้ารวมกันสูงถึง 10.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 29% ของการค้าโลก มีจีดีพีรวมกันมากกว่า 21.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 28% ของโลก
น่าเสียดายเหลือเกินครับที่อาร์เซ็ปที่เป็นความหวังของเราถูกเลื่อนออกไป ในขณะเดียวกัน ประเทศในอาร์เซ็ปที่ไปลงนามความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกหรือทีพีพี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2558 จำนวน 12 ประเทศนั้น มีถึง 7 ประเทศที่เป็นสมาชิกของอาร์เซ็ปคือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และบรูไน หลายท่านบอกว่า นี่อาจจะเป็นหนึ่งในหลายสาเหตุกระมังที่ทำให้หลายประเทศไม่กระตือรือร้นที่จะเจรจาจัดทำความตกลงอาร์เซ็ป เพราะพวกเขาเข้าไปอยู่ในทีพีพีแล้ว
ความร่วมมืออาร์เซ็ปที่เริ่มเมื่อ พ.ศ.2555 ผลักดันโดยจีน หลายคนถึงขนาดแอบกระซิบกระซาบว่าอาร์เซ็ปเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจเส้นทางสายไหมจีน
แล้วคนเดิมก็มากระซิบกระซาบต่อว่า ทีพีพีนี่แหละที่เป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ใช้คานอำนาจเศรษฐกิจ การค้า และอิทธิพลของจีน เช่นกัน
ทีพีพีคือเครื่องมือของสหรัฐฯ ส่วนอาร์เซ็ปคือเครื่องมือของจีน
ทีพีพีที่นำโดยสหรัฐฯมีสมาชิก 12 ประเทศ คือ สหรัฐฯ แคนาดา เม็กซิโก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน เปรู และชิลี มีจีดีพีรวมกัน 28.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 38% ของจีดีพีโลก มีประชากรรวมกัน 800 ล้านคน หรือ 11% ของประชากรโลก มีผลผลิตทางเศรษฐกิจสูงถึง 30 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,095 ล้านล้านบาท
เรียกว่า ทีพีพีกับอาร์เซ็ปอาจจะเป็นสงครามการค้าการลงทุนระหว่างประเทศของสหรัฐฯและจีนก็ได้
ทีพีพีทำให้สหรัฐฯต้องยกเลิกภาษีศุลกากรมากกว่า 18,000 รายการ ให้กับ 11 ประเทศสมาชิก อย่างเครื่องนุ่งห่มจากต่างประเทศที่จะส่งเข้าไปขายในดินแดนสหรัฐฯจะต้องเสียภาษีอยู่ในระดับ 17.8-32.5% หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์เสียภาษีอยู่ในระดับ 7% แต่ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิกของทีพีพีนั้น สามารถส่งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าไปยังตลาดสหรัฐฯด้วยภาษีศุลกากร 0%
นี่ล่ะครับ คือสิ่งที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นประเทศที่บริษัทในภูมิภาคอาเซียนต้องตบเท้าเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนาม แม้แต่บริษัทจากประเทศจีนก็ยังต้องย้ายฐานการผลิตเข้าไปในประเทศเวียดนาม เพราะกฎแหล่งกำเนิดสินค้ากำหนดให้เสื้อผ้าที่เวียดนามผลิต จะต้องใช้ผ้าที่ทอในเวียดนามเองเท่านั้น
ผมไม่พูดถึงสินค้าที่สหรัฐฯยกเลิกภาษีศุลกากรมากกว่า 18,000 รายการดอกครับ แต่ขอเขียนถึงเรื่องเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตในเวียดนาม สินค้าเพียงประเภทเดียวนี่ล่ะครับที่ทำให้เงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไปในเวียดนามอย่างมากมายมหาศาล โรงงานทอผ้าและฟอกย้อมซึ่งแต่เดิมอยู่ในประเทศจีน วันนี้ต้องกระเสือกกระสนหนีตายย้ายฐานไปลงทุนในเวียดนาม เพราะถ้าไม่ลงทุนที่นี่ตนเองก็ไม่สามารถค้าขายกับ 12 ประเทศทีพีพีซึ่งมีจีดีพีสูงถึง 38% ของจีดีพีโลก ได้ดอกครับ เมื่อปีที่แล้ว เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจึงไหลเข้าเวียดนามมากถึง 14,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผมอ่านข้อมูลจากสำนักงานการลงทุนจากต่างประเทศของรัฐบาลเวียดนามพบว่า ในต้นปีนี้ บริษัทจากจีนหนีตายเข้าไปลงทุนในเวียดนามกันอย่างคึกคัก
บริษัทแอลจีอิเล็กทรอนิกส์ ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตโทรทัศน์อันดับ 2 ของโลก บัดนี้ได้ย้ายโรงงานผลิตโทรทัศน์จากไทยไปอยู่เวียดนามเรียบร้อยแล้ว ถามว่าย้ายตามใครไป ก็ย้ายไปตามซัมซุงน่ะแหละครับ บริษัทซัมซุงย้ายจากไทยไปเวียดนามก่อนหน้านี้แล้ว
สองสามวันต่อจากนี้ ผมขอเขียนรับใช้ถึงความมหัศจรรย์พันลึกของเศรษฐกิจเวียดนาม ที่มหัศจรรย์เพราะรัฐบาลเวียดนามดำเนินนโยบายต่างประเทศในด้านการค้าอย่างเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องที่สุด เรื่องราวทั้งหลายจะเป็นยังไง ขออนุญาตมารับใช้กันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ.
คุณนิติ นวรัตน์
songlok@outlook.co.th
www.nitipoom.media
www.facebook.com/nitipoom.thailand