ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/603500
โดย ทีมข่าวการเมือง 10 เม.ย. 2559 05:01

จับสัญญาณ คสช.“ยกระดับ”กระชับอำนาจเด็ดขาด
ย่างเข้าเทศกาลสงกรานต์ อากาศเมืองไทยร้อนระอุทะลักปรอท
และแนวโน้มดีกรีความร้อนจะเพิ่มระดับสูงขึ้น ตามปรากฏการณ์พระอาทิตย์ตั้งฉากในหลายจังหวัดช่วงต่อจากนี้ไป ในขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งเข้าขั้นวิกฤติในหลายพื้นที่
ปีนี้ทั้งร้อนทั้งแล้งสาหัสของจริง
และนั่นก็ยิ่งเร้าไปกับบรรยากาศทางการเมืองที่เข้าสู่โหมดเผชิญแรงเสียดทานอย่างแท้จริง
ตามจังหวะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เริ่มเดินสายขึ้นเวทีชี้แจงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนให้ผ่านด่านประชามติ
แต่แค่เวทีแรกๆก็เจอลองดีเลย
กับฉากป่วนๆที่นักเรียน นักศึกษา ถือป้ายประท้วงบุกเข้าห้องประชุมระหว่างที่นายมีชัยกำลังปาฐกถากรอบแนวคิดร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2559 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต
จนนายมีชัยต้องรีบตัดบทจบก่อนเวลา
แม้จะเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวขาประจำที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร คสช.มาตลอด อย่างที่นายมีชัยและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ฟันธงตรงกันว่า มีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง
แต่ตามเค้าลางก็ปฏิเสธไม่ได้ หัวเชื้อแรงต้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย” จุดชนวนกันตั้งแต่เยาวชน
และตามจังหวะต่อเนื่องกัน นักวิชาการ “คณะนิติราษฎร์” นำโดยนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ร่อนแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
ยอมไม่ได้ให้ คสช.แฝงอำนาจอยู่ในรัฐธรรมนูญใหม่
นักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ พากันออกตัวแรงๆ ก็ไม่ต้องพูดถึงปฏิกิริยาของนักการเมืองที่มีส่วนได้เสียโดยตรง ชัดเจนก่อนใครก็คือพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์โหวตคว่ำประชามติตั้งแต่วันถัดจากที่นายมีชัยแถลงโชว์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์
แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังแทงกั๊ก รอประเมินลูกเข้าทางจนนาทีสุดท้าย
สรุปไม่มีใครพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะ “โหวตผ่าน” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
และในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทาน ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ช่วยกัน “ออกแรงเข็น” ให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านด่านประชามติที่ดูแล้วยังไม่ไปในทิศทางเดียวกันในหมู่แม่น้ำ 5 สาย
จับอาการมีแต่อารมณ์ระแวงเกม “เจาะยาง” กันเอง
ยิ่งเป็นอะไรที่มาตามนัด ไม่ผิดฟอร์มจากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ตามคิวที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติด้วยเสียงท่วมท้นให้ชงประเด็นคำถามตามความเห็นที่ส่งมาจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการพ่วงประชามติ
เห็นด้วยหรือไม่ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ควรกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าระหว่าง 5 ปีแรก ตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเป็นผู้พิจารณาเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
สรุปสั้นๆเลยก็คือ ให้ “ส.ว.สรรหา” ร่วมโหวตเลือกนายกฯได้
แน่นอน มันยิ่งกระตุกแรงต้าน ยั่วแรงเสียดทาน “ส.ว.ลากตั้ง” จิ้มนายกรัฐมนตรีได้ นี่คือเงื่อนไขถ่วงให้การลากเข็นร่างรัฐธรรมนูญฝ่าด่านประชามติให้ยิ่งยากลำบากกันไปใหญ่
เพราะมันคือการเปิดทางให้คนนอกเสียบเก้าอี้นายกฯได้แบบนิ่มๆ
กระตุกภาพการลากยาวอำนาจของรัฐบาลทหารเด่นชัดตามมโน
ตามรูปการณ์ถือว่า “เข้าทาง” เป็นการตอกย้ำน้ำหนักความชอบธรรมไหลไปอยู่กับแนวร่วมฝ่ายจ้อง “โหวตคว่ำ” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย”
ตีปี๊บกันได้เต็มปากเต็มคำ
แต่อย่างไรก็ตาม มาถึงจุดนี้ดูเหมือนสถานการณ์ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่านด่านประชามติ ก็ไม่ได้มีผลในระดับพลิกคว่ำพลิกหงายแต่อย่างใด
ประเมินจากท่าทีของรัฐบาลทหาร คสช.ที่ไม่ได้ซีเรียสซักเท่าไหร่
ในอารมณ์แบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ยืนยันตรงกัน ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่
ก็ต้องเดินหน้าไปตามโรดแม็ป ต้องมีการเลือกตั้งในปี 2560
เตรียมแผนหนึ่ง แผนสอง แผนสาม รองรับสถานการณ์ทุกประตูอยู่แล้ว
และโดยปรากฏการณ์ที่จับทางได้ ตามสถานการณ์จ่าย “ยาแรง” กับฝ่ายต่อต้านเพื่อคุมอาการกระเพื่อมในสถานการณ์ที่กำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ทั้งการจัดหลักสูตรพิเศษเตรียมไว้ให้พวกวิจารณ์ คสช.เข้าทำการปรับทัศนคติ
และที่ฮือฮาก็คือการไล่บี้การแจก “ขันแดง” ที่มีลายเซ็นของ 2 พี่น้อง อดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องในเทศกาลสงกรานต์
หรือก่อนหน้านั้นก็มีมาตรการเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยไฟเขียวให้นายทหารยศร้อยตรีขึ้นเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจจับกุมสอบสวนพร้อมควบคุมผู้ต้องสงสัยกระทำความผิดเหมือนตำรวจ
แม้แต่การตอบโต้อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนต่อกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้ คสช.จำกัดอำนาจของทหาร หลังมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 13/2559 โดย พล.อ.ประยุทธ์มอบหมายให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯย้อนศรแรงๆ
ประเทศของท่านทุกคนมีเสรีภาพทำผิดกฎหมายหรือ
ไม่มีการแตะเบรก ไม่ต้องคำนึงถึงภาพพจน์ติดลบ
ทหารเล่นบทดุ โต้แรงเสียดทานทั้งในและนอกประเทศ โดยไม่สนจะกระทบบรรยากาศประชามติ
ชัดเจน สถานการณ์มาถึงจุด “หักดิบ” คสช.ยกระดับการใช้อำนาจเด็ดขาด ตามยุทธศาสตร์เพื่อไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ปักธงไว้ให้ได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็เป็นอะไรที่เหมือนจะผ่อนคลายโดยอัตโนมัติ
สังเกตกระบวนท่าของนักเลือกตั้งอาชีพเริ่มกลับมาเคลื่อนไหว ป้อมค่ายการเมืองมีการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองกันอย่างเปิดเผย
อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์จัดงานทำบุญครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งพรรค พร้อมๆกับพรรคภูมิใจไทยก็จัดงานฉลองการก่อตั้งพรรคครบรอบ 7 ปี โดยมีแกนนำพรรคต่างๆเข้าร่วมแสดงความยินดี
นักการเมืองค่อยๆขยับ กลับมามีสีสัน
ไม่เว้นแม้แต่เป้าโฟกัสอย่างพรรคเพื่อไทย ล่าสุดก็มีการจัดพิธีรดน้ำดำหัวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ โดยตัวละครสำคัญอย่างอดีตนายกฯทักษิณได้วีดิโอคอลผ่านโปรแกรมสไกป์มาพูดคุยเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และอวยพรสมาชิกนานกว่า 15 นาที
“นายใหญ่” เริ่มต่อสายกับลูกทีมหลังหายไปในรอบ 1–2 ปีหลังการยึดอำนาจวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
นั่นหมายถึงสัญชาตญาณตามกลิ่นเลือกตั้งที่โชยมา
เอาเป็นว่า ไม่ใช่แค่คำยืนยันจากปากบิ๊กๆ คสช.เท่านั้น แต่ประเมินตามรูปการณ์ ด้วยสถานการณ์ไฟต์บังคับไม่ว่าจะเป็นปมด้านเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสขึ้นทุกวัน และนั่นก็แปรผันตรงกับแรงกดดันจากต่างประเทศที่ใช้เป็นเงื่อนไขบีบประเทศไทยให้คืนสู่บรรยากาศประชาธิปไตย
ด้วยเงื่อนไขกดดันหนัก ยากที่รัฐบาลทหาร คสช.จะลากสถานะแบบนี้ต่อไป
ยังไงการเลือกตั้งก็ต้องเกิดขึ้นแน่
และตามสภาพของนักการ เมืองที่อดอยากปากแห้งมานาน อย่างน้อยการได้ลงสนามเลือกตั้ง มีเวทีสภาให้เล่นย่อมดีกว่าบรรยากาศภายใต้รัฐบาลอำนาจพิเศษ
ถึงตอนนี้คงไม่สนร่างรัฐธรรมนูญ เกมหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร
ต่างฝ่ายต่างเตรียมแต่งตัวลงสนามเลือกตั้งไว้ก่อน
ขณะที่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในอารมณ์ “เบื่อม็อบ” แม้จะอึดอัดกับทหารก็ดีกว่าปล่อยให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย จนเข้าขั้นเสี่ยงรัฐล้มเหลว
ประชาชนยังเลือกที่จะเดินตามไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป
แน่นอน ทีมงาน คสช.ก็คงประเมินเกมตามนี้ ถึงได้กล้าเดินหมาก “หักดิบ” ไม่สนใจใคร
โดยเฉพาะการเล่นบทกร้าวกับพรรคเพื่อไทยและเครือข่าย “ทักษิณ” ถือเป็นการลบเสียงติฉินนินทาเรื่องการ “ฮั้ว” ไปได้ หรือแม้แต่กับค่ายประชาธิปัตย์เอง ทหารก็ไม่ได้ฟังอะไรมาก ไม่ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับลูกทีมจะออกมากระตุกขาท็อปบูตเป็นระยะ
ทหารกระชับอำนาจในฐานะเป็นฝ่ายถือดุล
และก็ประเมินล่วงหน้าได้ ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย” จะผ่านด่านประชามติหรือไม่ ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่เปิดทางไว้
อย่างไรเสีย คสช.ก็ต้องล็อก “บทเฉพาะกาล”
ในการใช้อำนาจผ่าน “ส.ว.สรรหา” ในการคุมเกมรัฐบาลหลังเลือกตั้ง
ซึ่งก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ตามสถานะของผู้คุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงาน
คสช.ต้องมุ่งเน้นภารกิจในความรับผิดชอบไว้ก่อน
เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า ภารกิจช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีจะเป็นไปด้วยความราบรื่น
ว่ากันตามเงื่อนสถานการณ์ทหาร คสช.ตัดสินใจลุยหักดิบ โอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงมีแน่
แต่ผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบไหนยังต้องลุ้นกัน
ตามเกมเดิมพันถึงขั้นงัด “ยาแรง” ยกระดับใช้อำนาจเด็ดขาดกันแล้ว
ถ้าไม่สงบ ก็รุนแรงกว่าเดิม.
“ทีมการเมือง”