คสช.ระวังสะดุดขาตัวเอง คนกันเองทุจริต-ปฏิรูปเหลวมีสิทธิพัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/206697

วันอาทิตย์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
หลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลามในการเข้ามายุติวิกฤติชาติทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยเพื่อเดินหน้าปฏิรูปครั้งใหญ่ให้พ้นจากวังวนแห่งวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม แต่นับวันผลงานของคสช.จะถูกตั้งคำถามจากประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะปฏิรูปประเทศจริงหรือไม่

แม้ประชาชนจะสนับสนุนและฝากความหวังไว้กับคสช.มาก แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ราคาพืชผลการเกษตรหลายชนิดตกต่ำ ซ้ำยังเกิดวิกฤติภัยแล้งรุนแรงที่แม้แต่อำนาจรัฐพิเศษก็ไม่สามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้นับวันความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อคสช.จะเสื่อมถอยซึ่งอาจถือเป็นความโชคไม่ดีของคสช.ที่เข้ามาบริหารชาติในยามที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยสารพัดปัญหาที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งในอดีตทิ้งไว้ รวมทั้งเข้ามาช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกและเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี

ผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักตลอดช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าผลงานอันเป็นจุดอ่อนของคสช.และรัฐบาลก็คือ ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาปากท้องของประชาชน

นอกจากนี้ คสช.ยังถูกตั้งคำถามว่าลงทุนยึดอำนาจเพื่อเข้ามาจัดระเบียบปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อขจัดขบวนการอำนาจเก่าโดยเฉพาะตัวจอมบงการและเหล่าแกนนำขั้นเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ แต่กลับปรากฏว่า จอมบงการและเหล่าแกนนำกลุ่มอำนาจเก่ายังคงลอยนวลเคลื่อนไหวท้าทายบ่อนทำลายประเทศทั้งในและนอกประเทศ

ขณะที่หนึ่งในงานการปฏิรูปประเทศที่สำคัญคือการปฏิรูปตำรวจก็แทบจะไม่มีอะไรคืบหน้าจนส่อเค้าว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในยุคของ คสช.

ที่สำคัญการปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นอันเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแม้คสช.และรัฐบาลประกาศให้การขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติ และมีความพยายามที่จะเร่งรัดผลักดันให้คดีทุจริตสำคัญต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว แต่ก็เป็นไปด้วยความล่าช้าโดยเฉพะการฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชดใช้เงินแก่แผ่นดินจากความเสียหายของโครงการรับจำนำข้าวที่มีการเลื่อนสรุปมูลค่าความเสียหายมาแล้วหลายครั้งทำให้การส่งฟ้องล่าช้าข้ามปีจนไม่แน่ใจว่าคดีสำคัญที่เป็นบรรทัดฐานระดับชาตินี้จะได้ข้อยุตินำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ทันยุคอำนาจของคสช.หรือไม่

แต่ที่น่าห่วงและเป็นอันตรายจนอาจทำให้การยึดอำนาจและการปฏิรูปประเทศของคสช.ล้มเหลวเสียของสิ้นเชิงก็คือ ข่าวการทุจริตของผู้มีอำนาจในคสช.และรัฐบาลโดยก่อนหน้านี้ก็เกิดข่าวอื้อฉาวโครงการอุทยานราชภักดิ์ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่เกิดความกระจ่าง และล่าสุดเกิดกรณีอื้อฉาวกรณีที่พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ออกมาเปิดเผยเบาะแสข่าวการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจยุคที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้กำกับดูแล

พล.ร.อ.พะจุณณ์ ยังเป็นสมาชิกขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)และเป็นประธานคณะอนุกรรมการโครงสร้างอำนาจหน้าที่และกระบวนการทำงานตำรวจเพื่อประโยชน์ของประชาชน สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.)

การออกมาตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเบาะแสการซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจนับว่าส่งผลสะเทือนอย่างยิ่งต่อศรัทธาความน่าเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อคสช. และรัฐบาล โดยมีการตั้งข้อสังเกตเชิงเตือนสติว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. อาจพังเพราะคนแวดล้อมใกล้ตัวที่ฉวยโอกาสแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ

ทั้งนี้การขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นถือเป็นผลงานอันเป็นจุดแข็งของคสช.และรัฐบาล แต่หาก ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เกิดการทุจริตขึ้นโดยผู้มีอำนาจในคสช.หรือรัฐบาล จากจุดแข็งก็จะกลายเป็นจุดบอดที่ทำลายคสช.และรัฐบาลอย่างรุนแรงในทันที

เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องระวังไม่เกรงใจคนใกล้ตัว เพราะหากวันใดวันหนึ่งมีการตีแผ่เรื่องการทุจริตของคนในคสช.หรือรัฐบาลที่มีข้อมูลชัดแจ้ง นั่นอาจหมายถึงวิกฤติศรัทธาของมหาชนที่มีต่อคสช.และรัฐบาล ส่งผลให้การยึดอำนาจเพื่อปฏิรูปประเทศของคสช.ล้มเหลวเสียของสิ้นเชิง

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment