ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติที่ว่างเว้นมา 5 เดือนหลังจากเลขาธิการคนเก่าเกษียณอายุราชการนั้น

ได้ทราบว่าเคยมีการรับสมัคร ผู้บริหารราชการ จากหน่วยงานภายนอกกรมเพื่อคัดเลือกให้เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการดังกล่าว แต่ปรากฏว่าผู้ที่มาสมัครทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในระดับศาสตราจารย์หรือรองศาสตราจารย์มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนในทำนองที่ว่าไม่เคยผ่านงานในระดับริหารมาก่อนเรื่องก็เป็นอันพับไป

การแก้ปัญหาในเรื่องนี้มีแนวทางที่จะทำได้ก็คือแนวทางที่หนึ่งเปิดรับสมัครใหม่อีกครั้งซึ่งไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

แนวทางที่สองคือการใช้อำนาจรัฐมนตรีทำเรื่องเข้า ครม.เพื่อโอนย้ายข้าราชการที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจากหน่วยงานอื่นมาเป็นเลขาธิการ

และแนวทางที่สาม ได้แก่ ดำเนินการคัดเลือกข้าราชการภายในหน่วยงานจากตำแหน่ง รองเลขาธิการ หรือ ที่ปรึกษา ที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนขึ้นมาเป็นเลขาธิการ

เข้าใจว่ากำลังดำเนินการในแนวทางสุดท้ายนี้อยู่ แต่มีข้อสังเกตว่าทั้งรองเลขาธิการและที่ปรึกษาซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 4 รายนั้นอาจจะมีบางรายที่ขาดคุณสมบัติก็ต้องตัดออกไป

พร้อมกับมีข้อมูลที่ต้องพิจารณาด้วยว่าทั้ง 4 รายนี้ล้วนแต่ถึงกำหนดต้องเกษียณอายุราชการในตอนสิ้นปีงบประมาณนี้ทั้งหมดทุกคน

นั่นหมายความว่าถ้าตั้งได้ภายในเดือนนี้ท่านเลขาธิการคนใหม่จะมีเวลาทำงานได้เพียง 7 เดือนเท่านั้นเอง
แต่นั่นก็มิได้เป็นข้อขัดข้องอะไรถ้ารีบดำเนินการเสียก็จะเป็นประโยชน์แก่หน่วยงานนั้นเองที่จะได้มีหัวหน้าหน่วยตัวจริงมิใช่ผู้รักษาการ

อย่างไรก็ตามหากเลือกดำเนินการในแนวทางที่ว่านี้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ปัญหาในอนาคต

สมมติว่ามีการคัดเลือก รองเลขาธิการ คนใดคนหนึ่งขึ้นมาเป็น เลขาธิการ อย่างที่ว่าสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือจะต้องมีการสรรหา รองเลขาธิการ คนใหม่ขึ้นมาแทนในตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งถ้าดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม พอถึงสิ้นปีงบประมาณ 2559 ก็จะเหลือรองเลขาธิการหน้าใหม่ที่ทำหน้าที่มาเพียง 6 เดือนเศษอยู่คนเดียวที่จะต้องทำหน้าที่รักษาการเลขาธิการหรือจะเป็นเลขาธิการตัวจริงไปเลย

อีกประการหนึ่งตัวเลือกของคนที่จะเข้าสู่ตำแหน่งรองเลขาธิการดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้อำนวยการกองระดับสูง ก็มีอยู่ไม่กี่คนซึ่งต่างก็เพิ่งเข้าสู่ตำแหน่งอำนวยการระดับสูงได้ไม่นานทั้งนั้น

แถมยังมี ผู้อำนวยการกองระดับต้น หรือเทียบเท่า พยายามอ้างสิทธิลงสนามแข่งขันกันด้วย

กระบวนการคัดเลือกทั้งหลายทั้งปวงนี้จึงต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและถูกต้องเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล

โชคดีที่หน่วยงานนี้มีรัฐมนตรีผู้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีอย่าง หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เป็นผู้ดูแล

คงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามตามระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นได้ง่ายๆ.

“ซี.12”