ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 8 เม.ย. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/602418

แล้ง แล้ง แล้ง…ที่ไหนแล้งก็แล้งกันไป แต่
ชาวนาที่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ถึงผืนนาจะแห้งแล้งปานใด พวกเขาก็ยังยิ้มได้ และหัวเราะเริงร่า ขอเพียงในดินยังพอมีความชื้นหลงเหลือ…
“นาแถบนี้ น้ำไหล ทรายมูล หมายความว่า พอถึงหน้าน้ำ น้ำจะหลากท่วมพัดพาเอาตะกอนลักษณะคล้ายทรายขี้เป็ดมาทับถมไว้ตามท้องไร่ปลายนา จนกลายเป็นดินร่วนปนทราย”
สมพร จุ้ยจุ่น ชายผู้สวมหมวก 2 ใบ ใบแรกในฐานะนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศษ (เทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยเกษตร อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี)
ส่วนหมวกอีกใบ เขายังเป็นเจ้าของแปลงปลูกถั่วลิสง 11 ไร่ มรดกตกทอดมาจากพ่อ แม่ ที่ ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี…พูดถึงสภาพดินที่ถั่วลิสงชอบ
สมพรบอกว่า หลังจากเสร็จสิ้นฤดูทำนา ช่วงต้นฤดูหนาวหรือประมาณเดือน ต.ค.-พ.ย.ของทุกปี ชาวนาแถว ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี จะเริ่มเตรียมดินเพื่อปลูกถั่วลิสง
“ทำกันแบบนี้มา 42 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก ก็เห็นพ่อ แม่ และเพื่อนบ้านปลูกถั่วลิสงเป็นอาชีพเสริมหลังจากทำนา พันธุ์ถั่วที่นิยมปลูก เมื่อก่อนใช้พันธุ์เมล็ดสีขาว แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาใช้พันธุ์สุโขทัย 38 เมล็ด สีชมพูแทน”
สมพรบอกว่า เหตุที่ชาวนาแถบ ต.ประศุก นิยมปลูกถั่วหลังฤดูทำนา เป็นเพราะการปลูกพืชตระกูลถั่ว สลับกับพืชอย่างอื่น นอกจากช่วยปรับปรุงสภาพดิน
ถั่วลิสงที่นำมาปลูกยังมีวงรอบการปลูกไม่ยาว เพียง 85 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว ที่สำคัญยังเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำ ขอเพียงยังมีความชื้นหลงเหลืออยู่ในดินก็พอแล้ว
แต่เหตุผลเหนือเหตุผล ที่ทั้งยั่วยวนและชวนเชิญขึ้นไปอีก ก็คือ รายได้จากการปลูกถั่วลิสง นับว่าเป็นกอบเป็นกำ ดีกว่าทำนาเป็นไหนๆ สมพรเปรียบเทียบรายรับคร่าวๆให้เห็นระหว่างการปลูกข้าว ปลูกถั่วลิสง และปลูกมันเทศว่า
เทียบกันไร่ต่อไร่ สมัยนี้ปลูกข้าวใช้ต้นทุนประมาณไร่ละ 5,000 บาท แบ่งเป็นค่าเช่าที่นา ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าจ้างพ่นยาและค่าเก็บเกี่ยว ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องมีน้ำขังอยู่ในนาเกือบตลอด
เทียบกับการปลูกมันเทศ ใช้ต้นทุนประมาณไร่ละ 11,000 บาท แบ่งเป็นค่าต้นพันธุ์ ค่าแรงงาน ค่าปล่อยน้ำเข้าไปหล่อในร่องปลูกทุก 15 วัน ค่าแรงเก็บเกี่ยว ภายใต้เงื่อนไขทุก 15 วัน ต้องปล่อยน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงในร่องปลูกอย่างน้อย 1 ครั้ง
ขณะที่การปลูกถั่วลิสง ใช้ต้นทุนไร่ละประมาณ 8,000 บาท แบ่งเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าเตรียมดิน ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่าจ้างแรงงาน และค่าเก็บเกี่ยว โดยไม่จำเป็นต้องให้น้ำตลอดการเพาะปลูก ขอเพียงในดินที่ปลูกยังพอมีความชื้นหลงเหลือมาจากการทำนา หรือทำการเกษตรอย่างอื่นมาก่อน
สมพรบอกว่า เมื่อนำต้นทุนการเพาะปลูกพืชทั้ง 3 ชนิดมาเทียบกับรายรับจากการขายผลผลิต โดยคิดที่ผลผลิตเฉลี่ยอัตราต่ำสุด หรืออย่างที่ไม่ค่อยได้ผล
จะเห็นว่า ทำนา ปลูกข้าว ใช้ต้นทุนไร่ละประมาณ 5,000 บาท ถ้าเฉลี่ยได้ผลผลิตต่ำสุดเพียงแค่ไร่ละ 70 ถัง ปัจจุบันข้าว 100 ถัง
หรือ 1 เกวียน ราคาประมาณ 7,000 บาท ถ้าได้ผลผลิตไร่ละ 70 ถัง ก็จะได้เงินแค่เพียง 4,900 บาท หรือเท่ากับขาดทุนไร่ละ 100 บาทเทียบกับการ ปลูกมันเทศ มีต้นทุนไร่ละประมาณ 11,000 บาท ถ้าได้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุดที่ไร่ละ 700 กก. ปัจจุบันราคามันเทศ กก.ละ 20 บาท เท่ากับ 1 ไร่ ขายได้เงิน 14,000 บาท หักออกจากทุนแล้วยังพอมีกำไรไร่ละ 3,000 บาท แต่สมพรบอกว่า การปลูกมันเทศ ทั้งเหนื่อยกว่าและดูแลยากกว่าทำนา และปลูกถั่ว
มาถึงพระเอกของรายการ ถั่วลิสง ต้นทุนปลูกอยู่ที่ไร่ละประมาณ 8,000 บาท ถ้าเฉลี่ยได้ผลผลิตต่ำสุดที่ไร่ละ 70 ถัง ปัจจุบันราคารับซื้อถั่วลิสงอยู่ที่ถังละ 200 บาท
เท่ากับว่าปลูกถั่วลิสง 1 ไร่ สามารถทำเงินได้อย่างต่ำไร่ละ 14,000 บาท เมื่อหักออกจากต้นทุนไร่ละ 8,000 บาท จึงเหลือกำไรไร่ละประมาณ 6,000 บาท
แถมซากต้นถั่ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วยังสามารถนำไปตากแห้งและอัดเป็นก้อน หนักก้อนละ 25 กก. ถือเป็นอาหารสัตว์ชั้นเยี่ยม นำไปใช้เลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ ขายได้ก้อนละ 80 บาท ถือเป็นอีกผลพลอยได้จากการปลูกถั่วลิสง การปลูกถั่วลิสงจึงดีกว่าทำนามหาศาล อย่างที่สมพร เปรียบเทียบว่า
“ทำนา 2 ไร่ สู้ปลูกถั่วลิสงไร่เดียวไม่ได้”
ถามว่าในเมื่อมีรายได้เห็นๆกันแบบนี้ ทำไมไม่เลิกทำนา หันมาปลูกถั่วลิสงกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่สมพรบอกว่า ช้าก่อน…มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ
เขาอธิบายว่า ผืนดินแถบ ต.ประศุก อ.อินทร์บุรี เป็นดินร่วนปนทราย เหมาะสมในการปลูกถั่วลิสงก็จริง แต่ดินสภาพแบบนี้ เมื่อได้น้ำ หรือถูกฝนตกลงมาอีกครั้ง ดินจะเริ่มจับตัวกันแน่นมับ หรือไม่ร่วนซุยเหมือนเมื่อช่วงหลังจากเพิ่งทำนาเสร็จใหม่ๆ ที่ยังพอมีความชื้นหลงเหลืออยู่ จึงทำให้บริเวณนี้สามารถปลูกถั่วลิสงได้ปีละครั้งเท่านั้น
“ปกติหลังเก็บเกี่ยวถั่วในเดือนกุมภาพันธ์ ปีไหนมีน้ำเต็มคลอง แถวนี้จะเริ่มเตรียมดินเพื่อทำนาต่อในเดือนมีนาคม เพราะดินจะเริ่มมับจับตัวแน่น ไม่สามารถปลูกถั่วลิสงซ้ำอีกรอบได้ แต่สถานการณ์ภัยแล้งปีนี้ไม่ปกติ ไม่มีน้ำจะทำนา แถมยังปลูกถั่วซ้ำก็ไม่ได้ จึงต้องเลี่ยงไปปลูกพืชอื่นแทน”
สมพรว่า เกษตรกรรายที่พอมีกำลัง สามารถไปจ้างเอกชนมาขุดบ่อน้ำบาดาลให้ มักจะเลือกนำน้ำจากบ่อบาดาลขึ้นมาใช้ปลูกพืชผัก จำพวกแตงโมอ่อน บวบ ฟักทอง หรือข้าวโพดข้าวเหนียว ซึ่งมีวงรอบในการปลูกประมาณ 80-90 วัน ถึงแม้จะมีพ่อค้าผักจาก จ.อ่างทอง หรือตลาดไท ตลาดสี่มุมเมืองมารับซื้อถึงที่ แต่สมพรบอกว่า ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องการตลาด นั่นคือ เมื่อเกษตรกรหลายรายปลูกผักกันมาก ก็จะถูกผู้รับซื้อกดราคา
ต่างกับการปลูกถั่วลิสง ซึ่งจะมีนายหน้าหรือที่เรียกว่า “ล้ง” จากแถว จ.สระบุรี หรือลพบุรี ทั้งนำเมล็ดพันธุ์ถั่วมาให้ปลูก และรับซื้อผลผลิตทั้งหมดในลักษณะของลูกไร่ ซึ่งให้ราคาที่เป็นธรรม
“ยังดีที่ปีนี้กระทรวงเกษตรฯมีมาตรการบรรเทาภัยแล้งให้แก่ชาวนา ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้กับกระทรวงฯ และมีสมุดทะเบียนเกษตรกรเป็นหลักฐาน สามารถเลือกทำกิจกรรมทางการเกษตรได้รายละ 1 อย่าง เช่น ปลูกผักอายุสั้น ใช้น้ำน้อย ปลูกถั่วเขียว ถั่วลิสง ทำเห็ด เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ หรือเลี้ยงไก่ไข่ เพื่อจุนเจือครอบครัวในช่วง 3-4 เดือน ที่ประสบภัยแล้งจนไม่สามารถทำนาได้ตามปกติ”
“ใครมีสมุดทะเบียนเกษตรกรดังกล่าว ถือว่ามีหลักฐานเป็นเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งจริง ไม่สามารถทำนาในฤดูกาลปี 58/59 ได้ มีสิทธิได้รับการผ่อนผันดอกเบี้ย หรือยืดระยะเวลาชำระหนี้เงินต้น หรือยืดระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยจากสหกรณ์การเกษตร และ ธ.ก.ส. เท่ากับได้ยืดลมหายใจออกไปอีกระยะ”
ส่วนคนที่ไม่เข้าเงื่อนไขใดๆสักอย่างตามที่ว่ามา สมพรบอกว่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็ต้องบากหน้าไปรับจ้างทำงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน หรือรับจ้างทาสีที่ในเมือง หรือไม่ก็ไปรับจ้างทำความสะอาดคูคลอง หรือรับจ้างเรียงหินตามท้ายคลองระบายน้ำของกรมชลประทาน ตามแต่จะมีใครหรือหน่วยงานใดว่าจ้าง
แม้แล้งนี้หลายคนยังรอดได้ เพราะกินบุญเก่าจากเงินค่าขายถั่วฯรอบที่แล้ว แต่หากพ้นจากนี้ไป เมื่อบุญเก่าเริ่มร่อยหรอ แต่ยังแล้งยาว อะไรจะเกิดขึ้น และภาครัฐจะหาทางแก้กันอย่างไร.