ผ่อนกฎเหล็ก ลุ้นประชามติ : ประเมิน คสช.“แก้เกม”ฝ่าแรงเสียดทานรอบด้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ทีมข่าวการเมือง 5 มิ.ย. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/631682

 

จากร้อนเข้าสู่ฤดูฝน ปฏิทินล่วงเข้าเดือนมิถุนายนผ่านครึ่งปีแล้ว

ก่อนอื่นใด ณ ห้วงเวลานี้ น่าจะอยู่ในบรรยากาศที่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่าต่างรวมพลังส่งกำลังใจถวายพ่อของแผ่นดิน จากการที่สำนักพระราชวังได้แถลงการณ์พระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เสด็จฯมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตลอดเดือนพฤษภาคม

ขอให้ทรงหายจากพระอาการประชวรโดยเร็ววัน

สำหรับพสกนิกรชาวไทยแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าในหลวงที่เป็นศูนย์รวมดวงใจ

ขณะที่บรรยากาศในภาพรวมก็กำลังเข้าสู่เทศกาลแห่งความสนุกสนาน กับมหกรรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือ “ยูโร 2016” ที่ประเทศฝรั่งเศส จะเริ่มฟาดแข้งกันในวันที่ 10 มิถุนายนนี้

กระแสฟุตบอลยูโรน่าจะปกคลุมประเทศไทยไปอีกเป็นเดือน

กลบเรื่องอื่นๆให้ซาลงไปชั่วคราว

ขณะที่บรรยากาศทางการเมืองโดยภาพรวมทั่วไปก็ยังอยู่ในสภาวการณ์ปกติ

นั่นคือไม่ถึงกับสงบแต่ก็อยู่ในวิสัยที่ คสช.ยังเอาอยู่

และแนวโน้มผ่อนคลายลงไประดับหนึ่ง ภายหลังที่ประชุมหน่วยความมั่นคงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.เป็นประธาน

อนุญาตให้นักการเมือง นักธุรกิจ และบุคคลที่เคยมีรายชื่อห้ามเดินทางออกนอกประเทศตามคำสั่ง คสช. สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้

เว้นแต่กรณีที่มีคดีความในชั้นศาล ต้องขออนุญาตตามกระบวนการยุติธรรม

และในจังหวะต่อเนื่องกันเลย ที่ประชุมสำนักงานเลขาธิการ คสช.ที่มี พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก เลขาธิการ คสช.เป็นประธาน ก็มีการปรับเปลี่ยนสถานที่ในการเชิญบุคคลเข้าทำการปรับทัศนคติในค่ายทหาร เป็นศาลากลางจังหวัดหรือสถานีตำรวจ

ไม่ใช้คำว่า ปรับทัศนคติ แต่เป็นการ “พูดคุยทำความเข้าใจ” แทน

เบื้องต้นเลย ประเมินตามแผนยุทธศาสตร์ที่ออกมาในลักษณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ยอมรับว่า เป็นการพยายามทำให้ทุกอย่างดูเบาลงทุกเรื่อง

ตามรูปการณ์ชัดเจนว่า คสช.พยายามปรับลดโทนความเข้มของอำนาจพิเศษ

โดยเหตุผลที่เป็นสถานการณ์เชื่อมโยงกับแรงกดดันจากนานาประเทศว่าด้วยประเด็นสิทธิมนุษยชนตามหลักสากล ผลจากชาติตะวันตกทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปแสดงท่าทีชัดเจนในการขอให้รัฐบาลทหาร คสช.ลดปัญหาการละเมิดสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐานของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย

ล้อไปกับมาตรการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจที่ยกระดับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

คสช.จึงต้องยอมปลดล็อกให้นักการเมือง นักธุรกิจ และกลุ่มบุคคลที่โดนกักบริเวณ เพื่อให้ต่างชาติเห็นถึงความตั้งใจลดระดับละเมิดสิทธิมนุษยชน

ลดแรงเสียดทานจากภายนอกประเทศซึ่งเป็นเงื่อนไขที่คุมเกมยาก

ถ้าโดนแบนแล้วจะทำให้สถานการณ์ยิ่งลำบาก

คสช. ต้องประคองเกมสู้แรงบีบจากโลกล้อมประเทศไทยเฉพาะหน้าไปก่อน

ขณะเดียวกันก็เป็นการผ่อนแรงเสียดทานภายใน เพราะการที่ คสช.ปลดล็อกให้กลุ่มบุคคลที่ติดแบล็กลิสต์เดินทางไปต่างประเทศได้ ต่อเนื่องกับการปรับเปลี่ยนการเรียกบุคคลเข้าปรับทัศนคติในค่ายทหารเป็นการพูดคุยทำความเข้าใจที่ศาลากลางจังหวัดหรือโรงพัก

มันทำให้ระดับความตึงเครียดลดโทนลงไป

ไม่ดุดันเข้มข้นเหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ

แม้ในทางปฏิบัติจริงก็ไม่ได้ปล่อยไฟเขียวให้เคลื่อนไหวกันอย่างอิสระแต่อย่างใด เพราะยังคงมีการดำเนินการทางกฎหมายกับพวกที่ฝ่าฝืน ฐานขัดประกาศหรือคำสั่งของ คสช.

ทหารยังคุมเกมป่วน ต้องกดแรงกระเพื่อมไว้ก่อน

แต่โดยเงื่อนสถานการณ์ก็มองได้ว่า คสช.แก้เกมฝ่าแรงเสียดทานรอบด้าน

พยายามเคลียร์บรรยากาศในห้วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญและต่อเนื่องไปถึงการเลือกตั้งตามโรดแม็ปของ คสช.

ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปตามโปรแกรม

อย่างไรก็ตาม มันก็มีจังหวะสะดุด เมื่อที่ประชุมผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งคำร้องของเครือข่ายนักวิชาการนำโดยนายจอน อึ๊งภากรณ์ ขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 มาตรา 61 วรรคสอง

ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

เนื่องจากมีเนื้อหาไม่ชัดเจน คลุมเครือ อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสน จนไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่จะมีการลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม และอาจมีการใช้เนื้อหา พ.ร.บ.ดังกล่าวไปดำเนินการทางคดีกับประชาชนได้

กฎหมายคุมกติกามีปัญหา

นั่นก็ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงผลกระทบต่อการทำประชามติตามปฏิทิน

แม้จะมีการยืนยันจากบรรดาผู้รู้ กูรูทางกฎหมายระดับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร

จะไม่กระทบต่อการทำประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม

ในมุมหากศาลวินิจฉัยว่าทั้ง 3 คำ หรือคำใดคำหนึ่งในนั้นไม่ถูกต้องจะต้องตัดออกไปเฉพาะคำคำนั้นเท่านั้น ไม่ต้องไปแก้ไขในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่วน 3 คำที่เหลือ คือ ข้อมูลเป็นเท็จ ปลุกระดม และข่มขู่ก็ยังอยู่ ไม่กระทบใดๆต่อ พ.ร.บ.ทั้งฉบับ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทั้ง 3 คำไม่ขัดถือว่าจบ

ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชี้ว่า อย่าคิดไปไกล เพราะประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เรื่องสาหัสแต่อย่างใด

ยึดตาม “มีชัย-วิษณุ” ณ ขั้นนี้ ไม่มีผลทำให้ประชามติ สะดุด

หรือแม้แต่นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ มือกฎหมายเบอร์ต้นๆของพรรคเพื่อไทย ก็ยังฟันธง ปมนี้จะไม่มีผลทำให้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติฯต้องล้มไปทั้งฉบับ เพราะมาตรา 61 ไม่ได้เป็นมาตราที่เมื่อเสียไปแล้วจะทำให้ พ.ร.บ.ใช้ไม่ได้ทั้งฉบับ

เรื่องนี้ไม่ได้มีผลทำให้โรดแม็ปของ คสช.เปลี่ยนไป

ในมุมของพวกมองโลกแง่บวก การดำเนินการของผู้ตรวจการแผ่นดินก็แค่การทำให้เกิดความชัดเจน เคลียร์ปมเทคนิคทางกฎหมายไม่ให้วุ่นวาย

แต่อีกมุมของพวกมองโลกในแง่ร้าย ก็หนีไม่พ้นอาการระแวงเกมล้มประชามติ

แฝงเหลี่ยมเปิดทาง คสช.ลากยาวอำนาจ

ยิ่งเป็นอะไรที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็พูดชัดเลยว่า ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาอย่างไร ก็ตามนั้น ถ้ามีการพิจารณาทันก่อนวันที่ 7 สิงหาคมแล้วผิด ก็ต้องหยุด

ถ้ามันขัดแย้งต้องเลื่อนการลงประชามติออกไปก็ต้องเลื่อน “แต่ถ้าเลื่อนอย่ามาบอกว่าผมเป็นคนสั่งเลื่อนแล้วกัน”

โดยจังหวะไล่เลี่ยกันกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดบนเวทีเปิดประชุมจี 77 ประกาศจะอยู่จนกว่าบ้านเมืองจะสงบ ไม่ต้องมาถามอีกว่าจะอยู่นานแค่ไหน ไปเมื่อไหร่

หัวหน้า คสช.พูดเป็นเชิงทีเล่น เอาจริง

และยังสำทับด้วย พล.อ.ประวิตร ที่ระบุหากสถานการณ์ในประเทศยังไม่สงบ และไม่สามารถเปลี่ยนตามโรดแม็ปได้ คสช.จำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพและภาพรวมของประเทศ

“พี่ใหญ่” ก็ไม่ปฏิเสธการอยู่ต่อในอำนาจ

พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร บิ๊ก คสช.สะท้อนเสียงออกมาในโทนเดียวกัน มันก็เป็นอะไรที่ยิ่งกระตุกต่อมหวาดระแวงของพวกที่พยายามดักทางเกมล้มประชามติ

เปิดทางทหารลากเกมอำนาจต่อไปเนียนๆ

แต่อย่างไรก็ดี ถ้าประเมินกันอีกมุมหนึ่ง ในสถานการณ์ที่ผลโพลสำนักต่างๆสะท้อนความเห็นของประชาชนต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย

ตัวเลขส่วนใหญ่ยังอยู่ในจุดต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย

ประชามติไม่มีหลักประกันความชัวร์

ในอารมณ์ที่ คสช.ก็อาจกลัวว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับซือแป๋มีชัยไม่ผ่านประชามติ โดนคว่ำซ้ำรอยร่างรัฐธรรมนูญฉบับของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ

การปฏิรูปประเทศไทยวนอยู่กับที่ ไม่คืบไปไหน

ดีลการใช้อำนาจพิเศษที่สัญญาไว้กับประชาชน ขอเวลาอีกไม่นานจะคืนความสุขให้ประเทศไทย ทำไม่ได้อย่างเพลงเพราะๆที่แต่งไว้

มันก็ถึงจุดที่ศรัทธาหด ความชอบธรรมหาย

ต่อให้มีกระบองยักษ์ อำนาจพิเศษ รัฐบาลทหารก็อยู่ต่อลำบาก

เพื่อไม่ให้ไปถึงจุดนั้น คสช.จึงต้องแก้เกม ฝ่าแรงเสียดทานรอบด้าน

เปิดเกมวัดใจประชาชน ลุ้นประชามติ

ถ้าอยากให้ประเทศสงบ

ก็ต้องโหวตผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่.

“ทีมการเมือง”

 

Leave a comment