ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ทีมข่าวการเมือง 4 มิ.ย. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/631559

คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
จุดจบชีวิตในบั้นปลายของสองอดีตผู้ยิ่งใหญ่แห่ง กกต. พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. และ นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต.
ถูกศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งอีกคนละ 10 ปี
หมดเวทีให้สู้อีกต่อไป ต้องเดินคอตกติดคุกยามแก่ เซ่นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.คณะกรรมการเลือกตั้ง พ.ศ.2541
จากกรณีไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคเล็กลงรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.2549 ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง
เป็นอุทาหรณ์เตือนสติหน่วยงานผู้มีอำนาจทั้งหลาย หากเกียร์ว่าง ปล่อยปละละเลยเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ ก็มีสิทธิพบจุดจบไม่สวยในบั้นปลายเฉกเช่นเดียวกับอดีตบิ๊ก กกต.
ไล่เลี่ยกับจังหวะที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติเอกฉันท์ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเนื้อหา พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา 61 วรรคสอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 หรือไม่
ไม่กล้าเสี่ยงเก็บเผือกร้อนไว้กับตัว รีบส่งต่อเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้เกิดความกระจ่าง ตามที่มีผู้ยื่นร้องเรียนเข้ามาให้ตรวจสอบ
ช่วยเร้าอุณหภูมิการเมือง ปลุกกระแสเลื่อนโรดแม็ปประชามติกระหึ่มขึ้นทันที
สอดรับสัญญาณล้มโต๊ะประชามติตามที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กระพือก่อนหน้านี้ ในทำนองอาจเกิดอุบัติเหตุการเมืองล่มเวทีประชามติจากฝ่ายรัฐบาล โดยใช้ศาลรัฐธรรมนูญเจาะยางล้มประชามติ
เพราะห่วงว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากประชาชน
และก็ไม่รู้ว่าจะเป็นคิวบังเอิญหรือจงใจกับรูปการณ์ ณ ขณะนี้ ดันไปเข้าเค้าสิ่งที่หัวโจก นปช.เคยจั่วหัวไว้พอดิบพอดี จึงเป็นอะไรที่ฝ่ายอำนาจพิเศษต้องรีบเคลียร์กระแสร้อนทันทีทันใด
ตามคิวที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. แม้กระทั่ง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ต่างประสานเสียงไปในทำนองเดียวกัน
แม้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า กฎหมายประชามติขัดกับรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 57 แต่จะไม่มีผลกระทบให้โรดแม็ปประชามติเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิม
3 อ๋องกฎหมาย คสช. ประสานเสียงตรึงโรดแม็ปการหย่อนบัตรประชามติให้นิ่งอยู่กับที่ ลดการขยายความไม่ให้เลยเถิด
แต่ที่แหวกทิศสวนทางกลับเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ที่พูดส่อนัยส่งซิกเลื่อนทำประชามติ
“ขึ้นอยู่กับผู้ตรวจการแผ่นดิน ผลออกมาว่าอย่างไรก็ตามนั้น ถ้ามันขัดแย้งต้องเลื่อนการลงประชามติออกไป ก็ต้องเลื่อน ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้าเลื่อนอย่ามาบอกว่าผมเป็นคนสั่งเลื่อนแล้วกัน”
เบอร์หนึ่ง คสช.บรรเลงไปคนละคีย์กับคนอื่นๆ มันก็เป็นอะไรที่น่าคิด
แม้ตีความแล้วจะเป็นการพูดตามหลักการและเหตุผล แต่หากจับสุ้มเสียงของหัวหน้า คสช.ที่พูดก่อนหน้านี้ในฟลอร์การประชุมประเทศสมาชิกจี 77 ว่า “ผมไม่ไปไหนอยู่แล้ว ตราบใดยังไม่สงบก็จะอยู่”
ถอดรหัสตีความ เป็นการส่งสัญญาณหยั่งเชิงขอเพิ่มเงื่อนไข หากบ้านเมืองยังไม่สงบก็อาจขออยู่ต่อ
ฉวยจังหวะสถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง คำรามขู่ฝ่ายการเมืองห้ามแตกแถว หากไม่อยากถูกแช่แข็งยาวๆ
ยิ่งมีเงื่อนไขเรื่องศาลรัฐธรรมนูญเตรียมตีความกฎหมายประชามติเข้ามาเป็นตัวแปร ก็ยิ่งเป็นอะไรที่อำนาจพิเศษจะประมาทไม่ได้
มองข้ามช็อต หากศาลรัฐธรรมนูญตีความในทางลบ ต้องตัดถ้อยคำก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย ตามมาตรา 61 วรรคสอง พ.ร.บ.ประชามติ
คลายเงื่อนไข ปล่อยฟรีสไตล์ ให้แต่ละฝ่ายแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ มันก็เพิ่มความสุ่มเสี่ยงต่อการบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญของฝ่ายจ้องบิดเบือนได้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่สามารถเอาผิดได้
หากควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ เลยเถิดไปถึงขั้นเกิดความวุ่นวาย ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบกับปฏิทินประชามติ 7 ส.ค.ให้ต้องยืดออกไปอีก
บรรยากาศยังไม่นิ่ง อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ สบช่องต่อวีซ่ายืดเวลาอำนาจพิเศษ.
ทีมข่าวการเมือง