ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/225383
วันพุธ ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ดูเหมือนขบวนการดันสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง วัดปากน้ำ พระอุปัชฌาย์ของธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ดูจะออกอาการเร่งรีบลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ตั้งแต่การประชุมลับของมหาเถรสมาคม (มส.) และมีมติเสนอชื่อสมเด็จช่วงทันทีหลังเสร็จสิ้นพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯไม่กี่วัน และล่าสุดพระเมธีธรรมาจารย์ หรือพระประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) อดีตแกนนำเสื้อแดง ถึงกับออกมาขู่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รีบทูลเกล้าฯสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชโดยเร็วหลังคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความแล้วว่ามติของมส.ที่เสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชไม่ขัดต่อมาตรา 7 ของพ.ร.บ.สงฆ์
ความจริงแล้วเรื่องปัญหาการตีความมาตรา 7 เป็นเรื่องข้อกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่การทูลเกล้าฯเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ซึ่งนายกฯต้องรับผิดชอบนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรอบคอบและพิถีพิถัน โดยผู้ที่จะเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่ต้องเป็นผู้มีจริยวัตรที่ใสสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงไม่มีมลทินด่างพร้อยแม้แต่น้อย
หากนำพระเถระผู้ใหญ่ที่มีคดีอื้อฉาวติดตัวหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางประการขึ้นทูลเกล้าฯคงเป็นเรื่องที่ไม่บังควรอย่างยิ่งซึ่งดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์จะแสดงจุดยืนชัดเจนในการเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ว่า จะไม่นำสิ่งที่มีปัญหาขึ้นทูลเกล้าฯ
แม้กฤษฎีกาจะตีความว่ามติมส.ที่เสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชไม่ขัดมาตรา 7 แต่กฤษฎีกาก็มีหน้าที่แค่เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาล อีกทั้งความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกายังขัดกับความเห็นของคณะผู้ตรวจการแผ่นดินที่เห็นว่า มติมส.ขัดมาตรา 7 ที่กำหนดให้นายกฯเป็นผู้ริเริ่มเสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราชโดยความเห็นชอบของ มส. แต่มส.กลับลัดขั้นตอนส่อเจตนาเร่งรีบรวบรัดโดยชิงมีมติเสนอชื่อสมเด็จช่วง ดังนั้นปัญหานี้ยังไม่จบอาจมีการยื่นเรื่องให้ศาลปกครองชี้ขาดอีกรอบ
วกกลับมาประเด็นสำคัญเรื่องการทูลเกล้าฯสมเด็จช่วงซึ่งมีสมณศักด์สูงสุดเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ ปัญหาอยู่ที่ สมเด็จช่วง มีมลทิน 2 เรื่องใหญ่นั่นคือ 1.มีคดีติดตัวกรณีมีรถเบนซ์หรูโบราณผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง โดยมีหลักฐานว่า สมเด็จช่วง จ่ายเงิน 1 ล้านบาท จากบัญชีส่วนตัวเพื่อตกแต่งรถเบนซ์
2.สมเด็จช่วง ทั้งในฐานะพระอุปัชฌาย์และประธานมส.ส่อพฤติการณ์ปกป้องสนับสนุน ธัมมชโย ผู้เป็นศิษย์มาตลอด ทั้งๆ ที่ ธัมมชโย เคยถูกดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและอวดอุตริมนุสธรรมจน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ มีพระบัญชาให้ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่ปี 2542 อีกทั้ง ธัมมชโย ยังถูกออกหมายจับฐานพัวพันฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น และดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตามหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งจากพฤติการณ์ของ สมเด็จช่วง ในฐานะประธานมส.ถูกฟ้องร้องฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 ของกฎหมายอาญา ส่วนในทางธรรมในฐานะพระอุปัชฌาย์ถือว่าละเลยความรับผิดชอบและหน้าที่ในการขัดเกลา
ธัมมชโย ซึ่งเป็นศิษย์
ด้วยมลทิน 2 ประการดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่าสมควรหรือไม่ที่จะนำชื่อสมเด็จช่วงขึ้นทูลเกล้าฯสถาปนาเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่
ทีมข่าวการเมือง
