ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ทีมข่าวการเมือง 5 ก.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/654827

“พุทธวิธีเชิงบูรณาการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเมืองไทยปัจจุบัน”
นี่คือหัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่กำลังศึกษาสาขาวิชาพุทธศาสนา พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ว่ากันว่า นี่แหละต้นตอที่มาของอาการ “ร้อนวิชา”
ตามปรากฏการณ์ที่เจ้าแม่เมืองกรุงไปจุดพลุเสนอตัวเป็น “โต้โผ” ระดมนักการเมืองเก่าแก่ เพื่อหาทางออกให้ประเทศ บนเวทีวิพากษ์ร่างรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
แต่ในจังหวะเหมือน “เจ๊หน่อย” จะเล่น “ผิดคิว”
สังเกตจากอาการเบื้องต้นที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ชักน้ำเสียงใส่สั้นๆแค่ “เหรอ” ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ให้น้ำหนักมุกการเคลื่อนไหวของคุณหญิงสุดารัตน์เอาซะเลย เช่นเดียวกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่รีบบอกปัดแค่รู้จักคุณหญิงสุดารัตน์ แต่ไม่ได้สนิทแต่อย่างใด
2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งทีม “บูรพาพยัคฆ์” ไม่รับมุก ก็ส่อ “แป้ก” ไม่มีใครเอาด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินสัญญาณในอีก 1–2 วันถัดมา ตามอารมณ์ที่ “บิ๊กตู่” ออกตัวชิ่งนิ่มๆว่า ไม่ขอรับรู้ในเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยห้าม แต่ขออย่าทำผิดกฎหมาย
ขณะที่ “บิ๊กป้อม” ก็เปิดไฟเขียวเป็นเชิง คุณหญิงสุดารัตน์สามารถทำได้ แต่อย่าให้เกินเลย สร้างความขัดแย้ง และทำผิดกฎหมาย เพราะเชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติ
ยังเปิดโอกาสให้ลุ้น ไม่ได้ปิดประตูใส่หน้าเสียทีเดียว
โดยรูปการณ์มันก็คิดอีกมุมได้ ด้วยสถานการณ์เฉพาะหน้า แบบที่นักข่าวยื่นไมค์ถามทันควัน และเป็นการตอบหลังจาก “มอร์นิ่งบรีฟ” รับฟังสรุปประเด็นประจำวันจากทีมงานกรองข่าว
ทำให้ “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” ต้องปัดปมร้อนให้ไกลตัวไว้ก่อน
ประกอบกับอาการระแวงเกมป่วนสถานการณ์ในห้วงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ไว้ใจพวกอ้างปรองดอง หวังนิรโทษเหมาเข่งมุกเก่า
ขืนรีบประกาศรับมุก แสดงท่าทีเอาด้วยก็โดนด่าเปิงแน่
แต่พอตั้งหลักได้ โฟกัสตัวละครเคลื่อนไหวอย่าง “เจ๊หน่อย” ที่จริงๆแล้วก็ไม่ใช่บุคคลอันตรายสำหรับทหาร ไม่ใช่แนวร่วมฝ่ายต้าน คสช.ที่ถูกจัดอยู่ในบัญชีบุคคลต้องห้าม
นั่นก็เลยทำให้อาการหวาดระแวงของทีม คสช.เปลี่ยนโทนไป
ไม่เปิดไฟเขียวชัดๆ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นสัญญาณ “ไฟแดง” เช่นกัน
นั่นก็น่าจะเป็นเพราะรัฐบาลทหาร คสช. ฝ่ายคุมเกมอำนาจเข้าใจได้ถึงความจำเป็นในการ “ดำรงอยู่” ของนักการเมืองอาชีพ โดยเฉพาะมวยรุ่นใหญ่ที่ต้องประคองเกมในสนาม
ตามโปรแกรมเมื่อ คสช.ต้องปล่อยเลือกตั้งตามโรดแม็ป
เพราะไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ กติกาจะเป็นอย่างไร ตัวผู้เล่นก็ยังเป็นพวกหน้าเดิมๆ ยังไม่สามารถล้างกระดานนักเลือกตั้งพันธุ์เก่าได้ทั้งหมด
โดยเฉพาะในส่วนของพรรคเพื่อไทย ลูกข่าย “นายใหญ่” ที่ยังเป็น “หอกข้างแคร่” เต็มไปด้วย “ตัวอันตราย” ที่อยู่นอกเหนือวิสัยการควบคุม
แน่นอน ด้วยเงื่อนไขย้อนแย้ง แม้ชื่อของ “เจ๊หน่อย” จะไม่โป๊ะเชะ ไม่ใช่คนที่ฟังแล้วคลิกทันที แถมยังมีเหลี่ยมแฝงของการ
ชิงเกมการนำทางการเมือง แต่ด้วยคุณสมบัติของบิ๊กเนมที่มีแรงเหวี่ยงทางการเมือง เป็นคนฝั่ง “ทักษิณ” ที่ต่อสายคุยกับฝ่ายคุมเกมอำนาจได้รู้เรื่องกว่าใคร
มันก็เป็นอะไรที่เหมาะกับสถานการณ์จังหวะนี้มากกว่าคนอื่น
ทหาร คสช.คงมองถึงจุดนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่หรี่ไฟเขียวให้
ทีนี้ก็เหลือแค่ฝ่ายการเมืองด้วยกัน แน่นอน อ่านตามฟอร์มปกติของยี่ห้อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีทางกระโดดรับมุกทันทีทันใด
ตามสไตล์ต้องชิงกระแส ไม่ยอมให้เครดิตคู่แข่งง่ายๆ
แต่กับข้อเสนอให้เปิดเวทีอย่างเป็นทางการเพื่อให้นักการเมืองมาตั้งวงถกทางออกร่วมกัน มันก็สะท้อนว่าหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ฝืนแนวทางของ “เจ๊หน่อย”
จะติดตรงที่วิธีของนายอภิสิทธิ์อาจจะ “ตื้นเขิน” ไปสักนิด เพราะที่ผ่านมาการเคลียร์ความขัดแย้งไม่มีทางจบบนเวทีพูดคุยอย่างเป็นทางการ แม้แต่สถานการณ์ภายในครอบครัว
เพราะ “อีโก้” ของแต่ละฝ่าย ไม่มีทางที่ใครจะยอมเสียฟอร์มออกอากาศ
ที่สำคัญไม่มีใครยอมเสี่ยงพลาดให้กองเชียร์ด่าแน่.
ทีมข่าวการเมือง