ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ทีมข่าวการเมือง 19 มิ.ย. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/641352

ทั่วโลกกำลังอยู่ในห้วงลุ้นเกมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016
ขณะที่เมืองไทยก็มีสถานการณ์ให้ลุ้นฉากระทึก ตามข่าวพาดหัวยักษ์หนังสือพิมพ์และการรายงานของสื่อทุกสำนักที่เกาะติดกระแสกันทุกระยะ
กับปฏิบัติการ “กบิล 59” ที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ร่วมวางแผนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จ่อนำกำลังบุกเข้าค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อควบคุมตัวพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาส ตามหมายศาล
ฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจร
ภายหลังการ “ล้มโต๊ะ” เจรจา 3 ฝ่ายครั้งสุดท้าย ระหว่างดีเอสไอ วัดพระธรรมกาย และตัวแทนคณะสงฆ์ ไม่ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน ทางดีเอสไอจึงได้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดตามขั้นตอนกฎหมาย
โดยเหลือทางเลือกแค่ 2 ทางให้ “ธัมมชโย” คือ มอบตัว กับถูกจับกุมตัว
และแน่นอน เมื่อปฏิบัติการบุกล็อกตัวเจ้าสำนักหลุดออกมาเป็นข่าวใหญ่โตให้รู้ตัวล่วงหน้า นั่นก็ทำให้กองทัพ “ธรรมกาย” ถูกปลุกให้พร้อมรบอีกครั้ง
อย่างที่มีพวกประกาศพร้อมสู้ตายเพื่อปกป้องหลวงพ่อ
ตามฉากสถานการณ์วันดีเดย์ มีศิษย์ธรรมกายในชุดขาวนั่งสมาธิท่ามกลางสายฝนโปรยปราย โดยมีการประกาศให้ทำใจนิ่งๆตามหลักวิชาธรรมกาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นให้นั่งนิ่งๆ
ขวางทางเข้าวัดไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปได้
ส่วนบริเวณภายนอกได้มีศิษย์ธรรมกายนับ 100 คนมายืนเข้าแถวเพื่อให้กำลังใจพระธัมมชโย
ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ และ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ได้คุมกำลังวางแผนปฏิบัติการตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก ปักหลักคุมเชิงอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า ตำรวจภูธรปทุมธานี
แนวรบด้าน “ธรรมกาย” เข้าสู่ภาวะตึงเครียด
โดยมีการเจรจาต่อรองยื้อกันไปยื้อกันมา และถึงที่สุดเลยก็เป็นฝ่ายดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยอมถอยกลับออกมาเพราะไม่สามารถฝ่าด่านแนวต้านของศิษย์ธรรมกายได้
ตามสถานการณ์ที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ระบุว่า การปฏิบัติการเป็นไปตามกรอบที่วางไว้ เพราะไม่อยากให้มีเรื่องมีราว
เจ้าหน้าที่ประเมินแล้ว ถ้านำกำลังเข้าไปได้ไม่คุ้มเสีย
ชัดเจนว่า คสช.ยังไม่เสี่ยง “หักดิบ” ให้สถานการณ์บานปลาย
ตามยุทธศาสตร์แค่ยกระดับการกดดัน สถานการณ์ทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีพฤติการณ์ละเมิดกฎหมาย โดยมีการเก็บหลักฐานที่กลุ่มศิษย์ธรรมกายขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไว้ดำเนินคดี
โดยเฉพาะในส่วนของ “ธัมมชโย” ดูจะเกินเงื่อนไขมอบตัวแล้ว
ถ้าโดนจับก็ต้องสึก
คสช.กระชับพื้นที่ไป แต่ก็ต้องคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย
เรื่องของเรื่อง มันก็เป็นอะไรที่แบไต๋กันชัดๆ ล่าสุดคณะศิษย์วัดพระธรรมกายได้ออกหนังสือชี้แจงต่อสื่อมวลชนโดยสาระสำคัญระบุว่า ขณะนี้พระธัมมชโยมีอาการอาพาธรุนแรง
และพระธัมมชโยควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ต่อเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปกติ และเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้วเท่านั้น
เพราะหากบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ย่อมขาดสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม และข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอแจ้งต่อพระธัมมชโย มีอายุความ 15 ปี
การที่รอให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จึงไม่ได้เป็นการล่าช้าต่อรูปคดีและการดำเนินคดี อีกทั้งอยากให้มีการเร่งรัดเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชโดยเร็ว
ตั้งเงื่อนไขให้บ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติ เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์
แบบฟอร์มเดียวกันเป๊ะเลย
เพราะมันเป็นข้อต่อรองของเครือข่าย “ทักษิณ” ทั้งคนของพรรคเพื่อไทยและแนวร่วมกลุ่มเสื้อแดง นปช.ที่กำลังหนีคดี โดยตั้งเงื่อนไขสู้กระบวนการยุติธรรม จะมอบตัวและสู้คดีก็ต่อเมื่อประเทศไทยกลับคืนสู่บรรยากาศประชาธิปไตยแล้วเท่านั้น
มันจึงเป็นอะไรที่โยงเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
“ธรรมกาย” กับเครือข่าย “ทักษิณ” เป็นแนวร่วมที่ผนึกกำลังกันต่อสู้กับอำนาจ คสช.
พร้อมเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
ถึงวันนี้แยกไม่ออกระหว่างปมวิกฤติการเมืองเรื่องการล้างระบอบ “ทักษิณ” การประชามติร่างรัฐธรรมนูญ การขุดรากถอนโคน “ธัมมชโย” และรวมไปถึงการตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่
มีการลากโยงเป็นชนวน พร้อมจุดไฟได้ทุกขณะ
ณ ห้วงเวลานี้ คสช.จึงต้องแตะเบรก ไม่ต้องการให้สถานการณ์วุ่นวาย อันจะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในห้วงประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ในจังหวะที่เชื้อไฟความขัดแย้งซึ่งถูกกลบไว้ด้วยอำนาจพิเศษเริ่มคุกลับมา
สะท้อนจากปรากฏการณ์กรณีผู้ช่วยนักบิน “นกแอร์” และ “แอร์เอเชีย” แชตไลน์ด้วยอารมณ์ “หมั่นไส้” ใช้ภาษาเรียกอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็น “เหยื่อ” จะพาโหม่งโลก
กลายเป็นปมซีเรียส พรรคเพื่อไทย กองเชียร์ “ยิ่งลักษณ์” กดดันหนัก จนสายการบินต้องขอโทษและสั่งพักงานนักบินที่พฤติกรรมมีปัญหา
แต่ในอารมณ์ของพวกเกลียด “ยิ่งลักษณ์” สุดโต่ง ก็ยุให้ “นกแอร์” ขึ้นแบล็กลิสต์อดีตนายกฯหญิงไม่ให้ใช้บริการไปเลย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับนักบิน
หรือประเด็นร้อนที่อาจารย์คณะครุศาสตร์จุฬาฯโพสต์ เฟซบุ๊กส่วนตัว “ตั้งแง่รังเกียจ” หน้าตาของแกนนำเยาวชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลทหาร คสช.ที่กำลังเข้าเป็นนิสิตจุฬาฯ เป็นนัยว่า “หนังหน้า” จะทำให้สถาบันเสียอัตลักษณ์
โดนวิพากษ์วิจารณ์ แนวร่วมฝ่ายต้าน คสช.ด่าหนักจนต้องปิดเฟซบุ๊กหนี
ตามรูปการณ์ทั้งกรณี “นักบินนกแอร์” และ “อาจารย์จุฬา” ล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนมาจากอารมณ์เกลียดชังทางการเมืองที่ฝังรากลึก
ถ้ามีอะไรกระตุกอารมณ์ก็ลุกพรึบได้ทันที
ภายใต้บรรยากาศแบบที่เริ่มมีม็อบเชียร์ ม็อบต้าน โคจรมาเผชิญหน้า ในสถานการณ์ที่ม็อบหนุน คสช.ไปดักขัดขวางกลุ่มพลเมืองโต้กลับไม่ให้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ “เต้นอย่างนี้ต้องตีเข่า” หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ตะโกนชี้หน้าด่ากันหยาบๆคายๆเสียงดัง
สถานการณ์ยุ่งอีนุงตุงนัง กำลังเข้าทางฝ่ายจ้องป่วนคสช. หวังผลคว่ำประชามติ
ที่แน่ๆมาถึงตรงนี้ มันเป็นคำตอบแล้วว่า ผ่านมา 2 ปีหลัง คสช.ยึดอำนาจ วิกฤติความขัดแย้งไม่ได้หายไปไหน ตรงกันข้ามมีแต่เพิ่มเงื่อนไขซับซ้อนไปกันใหญ่
ตามเงื่อนไขภายในประเทศที่ผูกโยงกับเกมโลกล้อมประเทศไทย ถ้าการเมืองปั่นป่วนรุนแรงอีกรอบ ก็เท่ากับเปิดช่องให้องค์กรนานาชาติเข้าแทรกแซงกิจการภายใน
น่าจะเป็นอะไรที่โยงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯหัวหน้า คสช.หลุดคำพูด “รู้แล้วจะหนาว” นั่นแหละ
แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐบาลทหารกำลังเผชิญแรงกดดันจากปมขัดแย้งที่สางไม่ออก
มันก็มีจุดน่าสนใจ กับช็อตพลิกมุมเชิงบริหาร
ทั้งการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อดูแลขับเคลื่อนการลงทุนในระบบบริหารจัดการน้ำ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค
โดย พล.อ.ประยุทธ์นั่งเป็นประธานด้วยตัวเอง
เป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาติดขัดในการเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นการลงทุนที่ไม่เดินไปตามเป้าหมาย แม้จะมีมาตรการอัดฉีดหลายระลอก
หรือกรณีที่เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
เบื้องต้นเลย น่าจะเป็นการกู้กระแส แก้สถานการณ์ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ “มีชัย” ซึ่งเปลี่ยนระบบการสนับสนุนของรัฐบาลให้เรียนฟรี 12 ปี จากชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มาเป็นชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ทำให้ถูกโจมตีหนัก ฝ่ายต่อต้าน คสช.ได้ทีไปขยายผลปมการตัดสิทธิ์เรียนฟรีชั้น ม.6 ซึ่งง่ายต่อการชักจูงความรู้สึกชาวบ้านที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลาน
เป็นแรงเสียดทานที่อาจถึงขั้นทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติได้เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในมุมของการพยายามออกแรงเข็นร่างรัฐธรรมนูญก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกมุมก็มองได้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจพิเศษรวบรัดเชิงบริหารให้เกิดมุมบวก ในการสร้างสรรค์เนื้องานที่เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ทำให้ชาวบ้านรู้สึกได้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ
เพื่อกู้สถานการณ์รัฐบาลปั่นผลงานไม่ออก อาการ “อำนาจติดลำกล้อง” จากบรรดารัฐมนตรีที่ส่วนใหญ่เป็นทหารไม่ถนัดเชิงบริหาร โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ
แต่นั่นยังไม่เท่ากับสถานการณ์หลง “ติดกับ” การเมืองมา 2 ปี
แบบที่ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์เอง รวมถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เปิดฉากปะฉะดะกับฝ่ายต่อต้านแบบไม่ลดละ
โดยมี “เสธ.ไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ รับไม้โซ้ยต่อ เท่านั้นไม่พอยังมี พ.อ.ปิยะพงศ์ กลิ่นพันธุ์ มาร่วมทีมกระบอกเสียง คสช.โซ้ยกับนักการเมือง ทีมเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย
เก็บตกกันทุกช็อต โต้กันแบบไม่ลดละ
สไตล์ไม่แตกต่างกับที่ชาวบ้านเบื่อพรรคการเมือง หายใจเข้าออกมีแต่เรื่องการเมือง
จนกระแสความนิยมตามโพลหดหาย เริ่มรู้สึกได้ว่าความเชื่อมั่นถดถอย
ปล่อยไปจะยิ่งทำให้ คสช.เผชิญสถานการณ์ลำบากขึ้น.
“ทีมการเมือง”