ฉันทามติตบหน้า2พรรคใหญ่ หนุนปฏิรูปประเทศแบบไทยๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/229576

วันอังคาร ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

นี่ขนาดสองพรรคใหญ่คือเพื่อแม้วกับประชาธิปัตย์ ซึ่งที่ผ่านมามีฐานคะแนนเสียงทั่วประเทศ รวมกันน่าจะเกือบ 30 ล้านเสียง รวมหัวกันประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ผลการลงประชามติ 7 ส.ค. ที่เพิ่งจะผ่านมาเท่ากับเป็นการตบหน้าสองพรรคใหญ่ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นฉันทามติของมหาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศที่เอือมระอานักการเมืองและวังวนวงจรอุบาทว์การเมืองน้ำเน่าแบบเดิมเต็มที และตอกย้ำเจตนารมณ์ของมหาชนที่ต้องการให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินหน้าปฏิรูปตามโรดแมป

แม้ผลประชามติครั้งนี้จะน่าเสียดายที่คนมาใช้สิทธิ์น้อยไม่ถึง 60% หรือราว 28 ล้านคน แต่ก็ไม่ได้ขัดหลักการทำประชามติตามหลักสากลทั่วโลกที่ต่างถือเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน

การที่ประชาชนเมินไม่มาใช้สิทธิ์ลงประชามติครั้งนี้สาเหตุหนึ่งอาจมองว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องไกลตัวและอาจเพราะการใช้สิทธิ์ลงประชามติไม่มีแรงจูงใจในลักษณะที่ว่า “เงินไม่มากาไม่เป็น” เหมือนการเลือกตั้งสส. แต่ไม่ว่าคนจะมาใช้สิทธิ์มากหรือน้อยก็ต้องยึดตามกติกานั่นคือถือเสียงข้างมากเป็นหลัก

และเมื่อดูจากผลการลงมติที่ประชาชนลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเกือบ 16 ล้านเสียงหรือเกือบ 62% ไม่รับเกือบ 10 ล้านเสียงหรือเกือบ 39% รับคำถามพ่วงที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมโหวตเลือกนายกฯราว 14 ล้านเสียง หรือเกือบ 59% ขณะที่ไม่เห็นชอบคำถามพ่วงเกือบ 11 ล้านเสียงหรือเกือบ 42% ถือเป็นคะแนนที่ทิ้งห่างเรียกได้ว่าขาดลอยอันสะท้อนเจตนารมณ์ประชาชนชัดเจนว่า นอกจากสนับสนุนรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศปราบพวกโกงชาติปล้นแผ่นดินแล้ว ยังสนับสนุนกลไกประชาธิปไตยแบบครึ่งใบคือให้มีวุฒิสภาซึ่งมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมเป็นเครื่องมือคอยถ่วงดุลตรวจสอบการ
ทำงานของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นพี่เลี้ยงคอยประคับประคองให้การเดินหน้าปฏิรูปประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความราบรื่น

อานิสงส์จากผลประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงและคำถามพ่วงก็คือปฏิกิริยาของภาคเอกชนทั้งไทยและเทศที่ต่างปลื้มและแสดงความเชื่อมั่นเพราะภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่เพื่อการปฏิรูปขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น บรรดาผู้ประกอบการนักธุรกิจภาคเอกชนจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาจ่ายเงินใต้โต๊ะให้นักการเมืองหรือข้าราชการผู้มีอำนาจอีกต่อไปเพราะมีมาตรการป้องกันและบทลงโทษที่เด็ดขาดรุนแรง อีกทั้งเมื่อร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติด้วยฉันทามติของมหาชนชาวไทยย่อมมีความชอบธรรมและชัดเจนว่า จากนี้ไปทุกอย่างจะเดินไปตามโรดแมปนั่นคือมีการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปีหน้าอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นจากนี้ไปหมดยุคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมและเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญ โดยพรรคและนักการเมืองทั้งหลายต้องยอมรับผลการลงประชามติ และปรับปรุงตัวเองให้สอดคล้องกับกติกาใหม่ ซึ่งหากยังคิดตีรวนป่วนเมืองเท่ากับไม่ยอมรับกติกาตามฉันทามติของมหาชนเสียงส่วนใหญ่

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment