ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/228137
วันอาทิตย์ ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
อีกแค่ 1 สัปดาห์ ก็จะได้รู้กันว่าประชาชนส่วนใหญ่จะลงประชามติผ่านหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงท่ามกลางกระแสทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ตัวแปรสำคัญที่จะชี้ผลการทำประชามติกลับเป็นพลังเงียบซึ่งประเมินว่ามีจำนวนถึงกว่า 60% ของผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติทั่วประเทศจำนวน 50 ล้านคนเศษ
ทั้งนี้ผลสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศของโพลล์ทุกสำนักอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมาจนล่าสุดสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่กว่า 60% ยังไม่ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ขณะที่ประชาชนซึ่งตัดสินใจ
แล้วฝ่ายที่จะออกเสียงผ่านร่างรัฐธรรมนูญมีมากกว่าฝ่ายที่คัดค้าน
แต่ปัญหาที่หลายฝ่ายวิตกก็คือเกรงประชาชนจะไม่ตื่นตัวออกมาใช้สิทธิมากเท่าที่ควร โดย นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย ให้ความเห็นว่า บรรยากาศการรณรงค์ให้ประชาชนไปออกเสียงลงประชามติช่วงที่ผ่านมา ยังไม่คึกคักเท่าที่ควรหากเปรียบเทียบกับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 จึงเกรงว่าอาจทำให้การลงประชามติครั้งนี้โมฆะหรือขาดฉันทานุมัติจากประชาชนจนอาจกระทบต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศได้
การลงประชามติครั้งนี้มีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ 50 ล้านคนเศษเพิ่มขึ้นจากการลงประชามติเมื่อปี 2550 ซึ่งมีผู้มิสิทธิลงประชามติราว 45 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขผู้มีสิทธิที่สูงมาก แต่กลับไม่มีกระบวนการใช้สิทธิล่วงหน้าจนอาจทำให้ผู้มีสิทธิลงประชามติจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนาหมดสิทธิไปโดยปริยาย
นายสุริยะใส ต้งข้อสังเกตว่า กระบวนการทำประชามติที่ชอบธรรมต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างน้อยกึ่งหนึ่งหรือไม่น้อยกว่า 25 ล้านเสียง สำหรับการลงประชามติครั้งนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะขนาดการลงประชามติเมื่อปี 2550 มีการรณรงค์กันอย่างคึกคักมากกว่านี้ยอดผู้มาใช้สิทธิ์ยังมีแต่ร้อยละ 57.6 หรือแค่ 25 ล้านกว่าเสียงเท่านั้น แต่บรรยากาศการรณรงค์ประชามติครั้งนี้แม้แต่ร่างรัฐธรรมนูญก็ถึงมือประชาชนช้ามาก อีกทั้งมีการปิดกั้นการรณรงค์แสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งวุ่นวายสับสนอาจทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายไม่ออกมาใช้สิทธิ
ทั้งนี้แม้ว่าพรรคการเมืองจะมีฐานคะแนนเสียงของตัวเองโดยเฉพาะสองพรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ โดยพรรคเพื่อไทยประกาศจุดยืนชัดเจนแล้วว่าต่อต้านคสช.ในทุกเรื่องและจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงตั้งแต่ยังไม่ยกร่างด้วยซ้ำ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ยังแทงกั๊ก อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประชาชนเบื่อหน่ายนักการเมืองและฝากความหวังการปฏิรูปประเทศไว้กับคสช. จึงอาจทำให้ฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใหญ่อาจมีจำนวนลดลง ดังนั้นต้องจับตาประชาชนเพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลการลงประชามติโดยเฉพาะพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสิน
นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่สาเหตุสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงประชามติเพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดประชาชนมุ่งในเรื่องการทำมาหากินและคงไม่มีเวลามาศึกษาเนื่อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องไกลตัวและเข้าใจยาก แต่จะตัดสินใจจากข่าวสาวข้อมูลที่ได้รับจากสื่อประเภทต่างๆ และที่สำคัญคือความพึงพอใจหรือศรัทธาในคสช.หรือพรรคการเมือง โดยมองที่ภาพรวมอนาคตของประเทศเป็นตัวชี้วัด
ทฤษฎีอีกกระแสหนึ่งที่มีการตั้งข้อสังเกตก็คือปรากฏการณ์ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่อยากให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเนื่องจากไม่ไว้ใจบรรดานักการเมืองที่จะกลับมาสร้างปัญหาให้ประเทศอีก และอยากให้ คสช.อยู่จัดระเบียบประเทศต่อไป จึงเกิดกระแสแนวคิดที่จะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อันจะทำให้คสช.อยู่ในอำนาจต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้นผลงานของคสช.ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศและความหวังในการเดินหน้าปฏิรูปชาติบ้านเมืองกับพฤติการณ์ของพรรคการเมืองตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศจมอยู่ในวังวนของวิกฤตการณ์ทางการเมืองซ้ำซากจนบ้านเมืองชอกช้ำอย่างหนักอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการตัดสินใจของพลังเงียบและเป็นตัวบ่งชี้ผลการลงประชามติ 7 ส.ค.นี้
ทีมข่าวการเมือง
