ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 พ.ค. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/615336

นางสาวจูอะดี พงศ์มณีรัตน์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะผู้กำกับดูแลโครงการประมงเข้าสู่ระบบแปลงใหญ่ เผยว่า สินค้าประมงที่นำร่องเข้าสู่ระบบแปลงใหญ่มี 3 ชนิด ได้แก่ กุ้งทะเล หอยแครงและปลานิล เนื่องจากเป็นสินค้ามีมูลค่าสูงในการทำรายได้ให้ประเทศ โดยเฉพาะกุ้งทะเล ส่วนหอยแครงสามารถทำ รายได้สูงถึงปีละพันล้านบาท แต่ปัจจุบันพื้นที่เลี้ยงเริ่มเสื่อมโทรมขาดการฟื้นฟู วิธีการเลี้ยงไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดความเสียหายหอยเน่าหอยตายอยู่บ่อยครั้ง หากมีการส่งเสริมการผลิตและพัฒนาการเลี้ยงให้หอยแครงมีคุณภาพมากขึ้น จะเป็นสัตว์น้ำที่น่าจับตามองอีกชนิดหนึ่ง และปลานิลมีการขยายตลาดไปสู่สหภาพยุโรป ตะวันออกกลางและสหรัฐอเมริกา มูลค่าการส่งออกมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ อีกทั้งยังต้องยกระดับมาตรฐานการผลิตให้เป็นที่ยอมรับแก่ตลาดโลก

“กรมประมงจึงได้วางนโยบายไปยังระดับจังหวัดเร่งเดินหน้าโครงการฯในแต่ละรายสินค้า เริ่มจากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ การผลิตกุ้งทะเลอย่างครบวงจร ในพื้นที่ 6 จังหวัด จ.จันทบุรี ตรัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และตราด วางเป้าหมายให้ผลผลิตของกุ้งทะเล ในพื้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และเกษตรกรสามารถลดต้นทุนให้ได้ร้อยละ 10 และสร้างตราสัญลักษณ์ของตนเองได้”


สำหรับโครงการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งผลิตหอยแครง รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ได้ดำเนินการในพื้นที่ จ.เพชรบุรี เพราะมีการเลี้ยงหอยแครงมานาน มีความเสื่อมโทรมทั้งพื้นที่และผลผลิต โดยจัดทำโครงการเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆให้มีการฟื้นฟูพื้นที่เลี้ยงหอยแครงจำนวน 9,920 ไร่ สร้างแหล่งพ่อแม่พันธุ์ (Seed Bed) ได้เพิ่มขึ้น 1 แหล่ง และลดต้นทุนลง 10% ส่วนการเลี้ยงปลานิลแบบครบวงจรดำเนินการในพื้นที่ จ.เชียงราย กาฬสินธุ์ ชลบุรี และนครศรีธรรมราช กำหนดเป้าหมายเพิ่มผลผลิตปลานิลให้ได้ร้อยละ 10 ลดต้นทุนการเลี้ยงร้อยละ 10 รวมทั้งจัดให้มีการรวมกลุ่มแปรรูปได้อย่างน้อย 5 กลุ่มและมีฟาร์มที่ได้การรับรอง GAP ไม่ต่ำกว่า 400 ฟาร์ม จัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนอย่างน้อย 4 กลุ่ม และจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ให้ได้ 4 กลุ่ม ให้สามารถส่งผลผลิตปลานิลไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าได้จังหวัดละ 1 แห่ง.