ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 30 เม.ย. 2559 05:01
อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/613000

ว่างจากงานหว่านไถ แทนที่จะ “ร้อย มาลัยใบข้าวห้อยคอสาวจำปา” อย่างเพลงลูกทุ่ง นายสมบุญกลับนำรถอีแต๋นมาบริการพานักท่องเที่ยวชมนาข้าว
รถ “อีแต๋น” หรือ “อีแต๊ก” หรือ “สิงห์คะนองนา” แปลกถิ่นก็แปลกคำเรียกขาน ใช้งานได้หลายอย่างทั้งต่อผาลไถนา ต่อกระบะบรรทุกพืชผลทางการเกษตร และยังบรรทุกคนได้ด้วย แต่เมื่อนำมาบรรทุกนักท่องเที่ยวชมท้องนาแล้วเป็นอย่างไร “นักท่องเที่ยวชอบมากครับ ไม่ว่าจะชมสวน และชมนา” นายสมบุญมือควบสิงห์คะนองนายืนยัน
นายสมบุญ สวัสดิ์จุ้น อายุ 63 ปี ชาวบ้านหมู่ 1 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม นักควบสิงห์คะนองนามือหนึ่งของหมู่บ้าน เสริมอีกว่า “เมื่อก่อนก็ใช้ขนข้าวเป็นกำๆมานวด ต่อมาใช้ขนข้าวฟ้อน เมื่อมีรถรูดข้าวเราก็ใช้รถรูดแทน รูดเสร็จแล้วก็ใช้รถนี่แหละเข็นข้าวเปลือกเข้าบ้าน”
ครั้นคณะกรรมการหมู่บ้าน กรมส่งเสริมการเกษตร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จับมือกันเปิดเรือกสวนไร่นาให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมเพื่อหารายได้เสริม ชาวบ้านหมู่ที่ 1 ตำบลศาลายาสำรวจพื้นที่แล้วพบว่า มีนาข้าวปลูกอย่างต่อเนื่อง แถมยังมีเรือกสวนสวยงาม จึงพร้อมใจกันเปิดทุ่งให้คนเที่ยวชม
“เมื่อนักท่องเที่ยวเข้าชม พอดีท้องนามันไกล เราเห็นว่ารถอีแต๊กมันว่างอยู่ แม้มันจะใช้สำหรับงานไร่งานนา แต่มันเป็นของแปลกสำหรับคนเมืองและต่างชาติ เราจึงนำเสนอให้ลองนั่งดู” นายปทุม สวัสดิ์นำ อายุ 83 ปี หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญบอก
ปรากฏว่า “นักท่องเที่ยวชอบ เขาบอกว่ามันหวาดเสียวดี”
หวาดเสียวอย่างไร ลองตีตั๋วนั่งดู ค่าบริการรอบละ 80 บาท นั่งได้ประมาณ 10 คน สิงห์คะนองนาค่อยๆเคลื่อนตัวจากท่าไปอย่างช้าๆ ผ่านเรือกสวนร่มรื่น มีทั้งกล้วยกำลังอวดปลี มะม่วงกำลังออกผล ขนุนบางต้นดกจนกิ่งแทบรับน้ำหนักไม่ไหว ระหว่างสิงห์คะนองนาแล่นไปบนทางดินริมสวน แรงกระแทกกระทั้นมีอยู่ทุกขณะจิต แต่ความร่มรื่นของสวนและความงามของดอกไม้ข้างทาง ช่วยปลุกให้ตื่นเต้นได้ไม่น้อย
พ้นเรือกสวนก็เข้าท้องทุ่ง กอข้าวเขียวขจีเต็มท้องนา ไกลออกไปมีหุ่นไล่กานิ่งอยู่ในแปลงนาเหมือนคนมั่นอยู่ในอุเบกขา ไม่ได้สนใจไยดีอะไรกับสิ่งรอบกาย ผืนนาแท้จริงเป็นของ “ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้จัดสรรที่ทำกินให้ราษฎร ตั้งแต่ พ.ศ.2518 โดยมีข้อแม้ว่า ต้องทำการเกษตรเท่านั้น ที่ดินโอนให้ทายาททำมาหากินต่อได้ แต่ขายเป็นเชิงพาณิชย์ไม่ได้ จำนวนที่ดินมีทั้งหมดประมาณ 3,000 ไร่ อยู่ในพื้นที่ปกครองของอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
ขณะสายตาแต่ละคู่เพลินอยู่กับท้องทุ่ง สนุกอยู่กับการถ่ายภาพเสียงลุงสมบุญก็ดังขึ้น “ระวัง”
สิ้นเสียงลุงเร่งเครื่องแล้วตีโค้งชนิดลืมวัยของตัวเอง ทำเอาเสียงสุภาพสตรีเผลอลืมคำว่า “สุภาพ” ไว้ชั่วขณะ อุทานคำควรพูดในที่ลับๆออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เลยโค้งใจหายใจคว่ำไป สิงห์คะนองนาก็ควบตะบึงเลียบท้องนาไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลันมีเสียงอุทานเพราะความงามของท้องทุ่งดังมา
ครั้นถึงโค้ง ลุงสมบุญก็ทำเอาหวาดเสียวไปตามๆกันอีก ก็จะไม่ให้เสียวได้อย่างไร นอกจากลุงจะตีโค้งอย่างคะนองนาแล้ว ยังปล่อยมือจากแฮนด์รถอีแต๋นอีกด้วย จังหวะการเหวี่ยง ปล่อย และตะปบแฮนด์รถทำได้อย่างคล่องแคล่ว แม่นยำ จนเราทึ่งไปตามๆกัน
“เราขับชำนาญอยู่แล้ว แต่กว่าจะขับให้นักท่องเที่ยวชมได้ ผมต้องฝึกมาเป็น 10 ปี แรกๆก็ขับได้แต่ช้าๆ ตีโค้งเร็วๆทำให้หวาดเสียวไม่ได้ ถึงอย่างนี้ก็เถอะ เราก็ต้องเผื่อพลาดไว้ด้วย ต้องกะพื้นที่ให้เหลือไว้นิดๆ กันพลาด” ลุงสมบุญกล่าวอย่างอารมณ์ดี
หลักการควบอีแต๋นของลุงสมบุญคือ ขาไปให้นักท่องเที่ยวละเลียดธรรมชาติ จึงขับช้าๆ แต่พอขากลับจะเร่งเครื่องแรง ตีโค้งให้หวาดเสียว เพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ เมื่อถามว่าเคยพลาดหรือไม่ ลุงยืนยันว่า “ไม่เคย”
แม้จะอายุ 63 ปีแล้ว แต่ลุงสมบุญยังคล่องแคล่ว ควบสิงห์คะนองนาทะยานไปชนิดไม่มีใครมาเทียบเทียมได้ จึงอดถามไม่ได้ว่า เตรียมมือสำรองไว้แล้วหรือยัง คำตอบคือ “ยัง” แม้จะเป็นคำสั้นๆ ซื่อๆ แต่ก็ทำเอาเราหลายคนอึ้งไปตามๆกัน
การบริการนักท่องเที่ยว ผู้ใหญ่มนูญ นราสดใส อายุ 56 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ตำบลศาลายา บอกว่า เริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แต่ตอนแรกๆ ยังไม่ได้ทำเป็นเรื่องเป็นราว มาเริ่มจริงๆ เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2548
“ช่วงแรกๆเราไม่ได้งบประมาณที่ไหนมาสนับสนุน เราชาวบ้านร่วมกันคิดร่วมกันทำ จัดรายการทัวร์ทั้งลงไปดูสวน นา กล้วยไม้ และนาบัว เราได้รับการสนับสนุนภายหลัง ทำให้เราได้มีการอบรมคนขับเรือ และชาวบ้านก็ได้วิทยากรมาเป็นผู้อบรมเพื่อบริการนักท่องเที่ยว”
สำหรับขั้นตอนการ “ทัวร์ทุ่ง” เริ่มจากเข้าไปบ้านลุงสมบุญ จ่ายค่าทัวร์รอบละ 80 บาท ในจำนวน 1 รอบนั้นนั่งได้ประมาณ 8-10 คน ระหว่างรอรถวนมารับ เจ้าของบ้านจัดน้ำเย็นๆมาให้ดื่ม พร้อมอาหารตามฤดูกาล
“อย่างวันนี้เรามีฝรั่ง มะม่วง ส้มโอ ทั้งหมดเป็นผลไม้ที่เรามีอยู่แล้ว มะม่วงหมดเราก็อาจจะเอาส้มเขียวหวาน หรือผลไม้อื่นมาแทน เรียกว่าสวนเรามีอะไร คนที่มาเที่ยวก็ได้รับประทานอย่างนั้น ส้มโอเราก็มีทองดี และขาวน้ำผึ้งอร่อยมากนะ”
เมื่อถามว่า ชาวต่างชาติรู้ได้อย่างไร เห็นทยอยกันมาแทบไม่ขาดสาย ผู้ใหญ่บอกว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 รายการต่างๆเข้ามาดู และนำเรื่องราวไปประชาสัมพันธ์ “เราเชื่อมกับการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย และบริษัททัวร์ต่างๆด้วย อย่างเมื่อคนเดินเข้ามา เจ้าของบ้านจะดูว่า มีอะไรบ้างก็จัดเตรียมมาให้รับประทาน แล้วก็มีการให้ความรู้เรื่องสวน พาเดินชมสวนถ้าต้องการ”
ขณะอยู่บน “สิงห์คะนองนา” นักท่องเที่ยวจะได้ฟังลุงสมบุญอธิบาย แต่ถ้าเดินไปชมสวน คนอธิบายคือนางสาวจงดี เศรษฐอำนวย หรือ “ป้าแจ๋ว” ผู้มีภูมิรู้เรื่องสวน และยังเชี่ยวชาญด้านการแปรรูปผลไม้ต่างๆ “เราสนุกเมื่อมีคนเชิญไปเป็นวิทยากรที่อื่นๆด้วย ได้พบปะคนมาก และภูมิใจที่ได้ทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง”
บริการ “สิงห์คะนองนา” คือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ชาวบ้านนำเอา “สิ่งที่มีอยู่แล้ว” มาให้บริการ แม้จะบริการแบบชาวบ้าน แต่ก็สร้างความประทับใจให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ
น่าจะเป็น “ต้นแบบ” หนึ่งของการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรไทย.