ปู-บุญทรงสีข้างถูสู้เลือดเข้าตา อ้างถูกแกล้งเดินเกมดับเครื่องชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236828

วันเสาร์ ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และนายบุญทรงเตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในภาวะเลือดเข้าตาหลังพิงฝาจากพิษคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายล่มจมให้ชาติบ้านเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จึงพยายามเดินเกมทุกวิถีทางหวังเอาตัวรอดด้วยการสร้างภาพอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง ขณะเดียวกันก็มีการข่มขู่เอาคืนหากพรรคเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้ง

นับเป็นครั้งแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาแสดงท่าทีชนิดดับเครื่องชนโดยอ้างว่า โดนอยู่คนเดียวโดยขณะนี้ตัวเองถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สอบสวนเอาผิดถึง 15 คดี โดยล่าสุดคือกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งข้อกล่าวหาว่าบริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนนำไปสู่เหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2554 ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนก็ต่อเมื่อมีผู้ยื่นข้อกล่าวหามา ซึ่งหากเห็นว่าเรื่องใดมีมูลจึงรับไว้พิจารณา แต่หากเห็นว่าไม่มีมูลก็จะยกคำร้อง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่าน้ำท่วมเกิดก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารประเทศซึ่งเป็นการบิดเบือนอย่างสิ้นเชิง เพราะหากยังจำกันได้ก่อนที่จะเกิดมหาอุทกภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขณะนั้นโดยเฉพาะนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกฯ ต่างออกมายืนยันว่า “เอาอยู่” จะไม่เกิดน้ำท่วมเมืองหลวงอย่างแน่นอนหลังจากที่กระแสน้ำเหนือไหลบ่าเข้าสู่ที่ราบลุ่มสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยาอันสะท้อนให้เห็นถึงการประเมินสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โอดครวญว่าตัวเองถูกร้องต่อป.ป.ช.ให้สอบสวนความผิดถึง 15 คดี น่าจะถามตัวเองมากกว่าว่าเพราะอะไร ซึ่งในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจบริหารประเทศได้ลุแก่อำนาจไปในทางที่มิชอบหรือไม่ ซึ่งหากมั่นใจว่าไม่เคยทำผิดก็ไม่เห็นจะต้องกลัวกฎแห่งกรรมเพราะถึงที่สุดแล้วทุกอย่างจบลงตามกระบวนการยุติธรรมปกติอยู่แล้ว

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังอ้างว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ตัวเองและพวกเหมือนเป็นการชี้นำคดีจึงถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ตัวเอง ได้รับ

ทั้งๆ ที่ความจริงการยึดทรัพย์เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีซึ่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและปฏิบัติมาช้านานแล้ว อีกทั้งฝ่ายผู้ถูกยึดทรัพย์ยังสามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลปกครอง

ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลจึงต้องออกมาตอบโต้ขบวนการที่พยายามสร้างข่าวบิดเบือนว่ามีการใช้มาตรา 44 เพื่อยึดทรัพย์หรือกลั่นแกล้งในคดีรับจำนำข้าวซึ่งไม่เป็นความจริง ส่วนการเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์นั้นความจริงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็เคยคิดที่จะตั้งกองยึดทรัพย์บังคับคดีตามคำสั่งปกครองในสังกัดกรมบังคับคดีแต่ดำเนินการไม่สำเร็จ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากออกมาดับเครื่องชนคดีจำนำข้าวแล้ว ยังเดินเกมให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่ 8 คัดค้านการแต่งตั้ง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึง 6 คดี

สำหรับ น.ส.สุภา นั้นเคยเป็นรองปลัดกระทรวงการคลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้าราชการจอมตงฉินซึ่งทำหน้าที่โดยยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ต่อมา น.ส.สุภาก็ถูกปลดออกจากการเป็นประธานปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ น.ส.สุภา ตัดสินใจลาออกจากราชการและมาสมัครจนได้รับเลือกเป็นกรรมการป.ป.ช.จนปัจจุบัน

มาทางด้าน นายบุญทรง ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญกรณีทุจริตซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊โดยถูกฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่าราว 1,700 ล้านบาท จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมดรวม 20,000 ล้านบาท โดยไม่รวมถึงการถูกฟ้องดำเนินคดีทางอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งนายบุญทรง เดินเกมสู้แบบเลือดเข้าตาด้วยการขู่ฟ้องกลับทุกคนที่ดำเนินคดีกับตัวเอง ขณะเดียวกันประกาศแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนว่าจะทำทุกวิถีทางลากพล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นศาลให้ได้

ขณะที่บรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วหลายคนออกมาขู่รัฐมนตรีและบรรดาข้าราชการที่มีส่วนเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์และเหล่าคนของขบวนการเพื่อแม้ว โดยให้ระวังตัวให้ดี เพราะหากพรรคเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่เมื่อไหร่จะมีการเช็คบิลเอาคืนแน่นอน

จากการออกมาดับเครื่องชนแบบเลือดเข้าตาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายบุญทรง และเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วสะท้อนการจำนนต่อความจริงที่ใกล้จนมุมเข้าไปทุกขณะจึงต้องสู้แบบหลังพิงกำแพง ซึ่งการออกมาโวยวายว่าถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความยุติธรรมนั้นเป็นข้ออ้างแบบกำปั้นทุบดิน และหากบริสุทธิ์ใจจริงไม่ควรที่จะหวาดผวาตีตนไปก่อนไข้ เนื่องจากถึงที่สุดแล้วผิดถูกชั่วดีทุกอย่างจะต้องไปจบที่ศาลสถิตยุติธรรม

ทีมข่าวการเมือง

Leave a comment