ระยะเวลาพิสูจน์ “พฤติกรรม”การใช้อำนาจพิเศษ : ลุ้นสุดทาง ความอดทน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โดย ทีมข่าวการเมือง 10 ก.ค. 2559 05:01

อ่านข่าวต่อได้ที่: http://www.thairath.co.th/content/659021

 

มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูโร 2016” เดินทางมาถึงวันสุดท้าย ลุ้นแมตช์ตัดสินแชมป์ระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสกับทีมชาติโปรตุเกส

เทศกาลแห่งความมันกำลังสิ้นสุด กระแสฟุตบอลคงจะซาลงไป

คืนพื้นที่ข่าวให้ประเด็นร้อนๆทางการเมือง ปมวุ่นๆ ประเด็นป่วนๆ กลับมาเหมือนปกติ

ในสถานการณ์เครียดๆ บนหน้าข่าวเศรษฐกิจ กับปรากฏการณ์ที่ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง “โตโยต้า” เจอผลกระทบจากตลาดรถซึมยาว

ต้องเปิดโครงการสมัครใจลาออกสำหรับพนักงานที่เกินความจำเป็น

ต่อเนื่องกับข้อมูลของนายยงยุทธ แฉล้มวงศ์ ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองว่า น่าเป็นห่วงสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง

เพราะหลายบริษัทจะเริ่มได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจส่งผลต่อการบริโภคที่ลดลงจนทำให้ต้องลดอัตราการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องหนัง พลาสติก

ถึงจุดเลิกจ้างงาน สัญญาณอันตรายที่เห็นกันตรงหน้า

ในภาวการณ์ที่สอดคล้องกับศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2559 พบว่า ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6

ต่ำสุดในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557

ผลจากภาวการณ์โลกซ้ำบรรยากาศภายในประเทศ วิกฤติเศรษฐกิจกำลังไหลมากดทับบรรยากาศเครียดๆ ทางการเมือง ชาวบ้านเดือดร้อนเรื่องปากท้อง

พาลเป็นอารมณ์หงุดหงิดรัฐบาลทหารได้ง่ายๆ

ภายใต้เงื่อนสถานการณ์ที่ยังดำเนินไปตามโรดแม็ป คสช. เข้าสู่เดือนสุดท้ายจะถึงกำหนดการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม

และยิ่งใกล้วันดีเดย์ก็เหมือนจะเร้าแรงต้านเข้มข้นขึ้นตามลำดับ

ตามภาพการปล่อยตัว 7 นักศึกษากลุ่มประชาธิปไตยใหม่ที่โดน “ตีตรวน” ข้อหาขัดคำสั่ง คสช.แจกใบปลิวรณรงค์โหวตโนในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ภายหลังถูกจองจำมานานเกือบ 2 สัปดาห์ โดยไม่มีการขอประกันตัว

ในอารมณ์ที่ผู้ถูกปล่อยตัวตะโกน “รณรงค์เป็นสิทธิไม่ผิดกฎหมาย” เดินกอดคอกันร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา ออกมารับดอกไม้จากประชาชน ขณะที่นายรังสิมันต์ โรม แกนนำขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ยืนยันจะเดินหน้าเรียกร้องสิทธิในการแสดงความเห็นและรณรงค์ประชามติต่อไปคนรุ่นใหม่ไม่สะทกสะท้านกับมาตรการเข้มของอำนาจพิเศษ

ท่ามกลางการจับตาของนานาชาติ ตัวแทนสถานทูตกว่า 25 ประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และกลุ่มสหภาพยุโรปเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีในศาลทหารก่อนมีการสั่งปล่อยตัวนักศึกษา

โดยจังหวะการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ล้อไปกับกระแสโลก

ตามรูปการณ์แบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ต้องเจอกับคำถามกรณีที่กลุ่มนักศึกษาเริ่มขยายตัวทำกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลทหาร คสช.ในมหาวิทยาลัยต่างๆมากขึ้น

ออกปากขอร้องให้นักศึกษาทำกิจกรรมอยู่แค่ภายในมหาวิทยาลัย

พร้อมกับฝากให้น้องๆหลานๆช่วยกันดูแลประเทศ คสช.จำเป็นต้องดูแลให้เกิดความสงบและให้ประเทศมีความมั่นคง ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งตีกัน เพื่อให้เยาวชนที่เติบโตขึ้นมาช่วยกันดูแลต่อไป

ปรับโทนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไม่เติมหัวเชื้อเข้ากองไฟ

เบอร์หนึ่งด้านความมั่นคง ของ คสช.อย่าง พล.อ.ประวิตรยังไม่เสี่ยงยั่วแรงต้าน กระตุกแรงเสียดทานในอารมณ์ที่นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ไม่กลัวข้อหาท้าทายทหาร

ขยับทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ ขยายวงเพิ่มแนวร่วมลามไปเรื่อยๆ

คสช.ต้องไล่ตามประกบกันเหนื่อย ขณะเดียวกัน โดยยุทธศาสตร์การคุมเข้มเกมป่วน รัฐบาล คสช.ได้จัดตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ขึ้นในทุกจังหวัดและอำเภอทั่วประเทศ

ทำหน้าที่ 3 ภารกิจหลัก คือ ด้านการบริหารจัดการ เช่น จัดทำแผนเผชิญเหตุ ติดตามสถานการณ์ ตั้งจุดตรวจจุดสกัด ด้านการข่าว เสาะหาข่าวที่บิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ การกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ประชามติ หรือเหตุความไม่สงบเรียบร้อย และด้านการแก้ไขปัญหาการชุมนุมสาธารณะ ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558

แทบจะเรียกได้ว่า ล็อกแรงกระเพื่อมกันทุกตารางนิ้ว

คสช.ออกแรงเข็นร่างรัฐธรรมนูญให้ผ่านด่านประชามติเต็มที่

แน่นอนว่า อีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนสถานการณ์เบื้องลึก ตามอาการของ คสช.ที่ดำเนินการทุกวิถีทาง นั่นแสดงถึงโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านด่านประชามติมันยังก้ำกึ่งเต็มที

เป็นเดิมพันสำคัญที่การันตีความชัวร์ไม่ได้

อะไรไม่เท่ากับว่า ในห้วงที่แรงเสียดทานการประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่พุ่งเข้าใส่ทุกทิศทุกทาง สถานการณ์ยังลูกผีลูกคน มันยังมีปัจจัยแทรกซ้อนเพิ่มเติมเข้ามา

ตามแรงกระเพื่อมจากนักการเมืองที่เริ่มขยับ

ชนวนต่อเนื่องจากคิวที่ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำกลุ่ม กทม.พรรคเพื่อไทย ได้จุดพลุเสนอแนวคิดให้นักการเมืองเก่าแก่ “จับเข่าคุย” เพื่อหาทางออกจากวิกฤติ

กระตุกกระแส เรียกทั้งเสียงโห่ฮาและเสียงขานรับเซ็งแซ่

และนั่นก็เป็นเหมือนสถานการณ์ “นำร่อง” ให้นัก การเมืองทุกป้อมค่าย ได้ยืดเส้นยืดสาย ส่งเสียงไปถึง คสช.ในการขอเปิดพื้นที่ขยับแข้งขยับขาหลังถูกล็อกอยู่นอกสนามมานานกว่า 2 ปี

ในจังหวะตรงล็อกพอดีกับที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ชง คสช.เปิดไฟเขียวให้พรรค การเมืองทำกิจกรรมทางการเมืองได้หลังการทำประชามติวันที่ 7 สิงหาคม

ประเมินทิศทางลมแล้ว นักเลือกตั้งอาชีพกล้าขยับขอคืนพื้นที่จากทหาร

แต่จับอาการจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ที่บอกปัดข้อเสนอของ สปท.ทันทีทันควัน ยืนกรานเสียงแข็ง ยังไม่เปิดให้พรรคการเมืองหารือ หรือจัดประชุมพรรคอะไรทั้งสิ้น

สอดรับกับท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ที่หงุดหงิด สปท.ทำเกินหน้าที่ ตามแรงกระแทกจาก สปท.เครือข่ายสายตรง “พี่ใหญ่” ที่ดาหน้ารุมถล่มนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท.ที่เดินสายโรดโชว์ตามป้อมค่ายการเมืองทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์

โดนแฉ “ยัดไส้” แผนรองรับตั้งพรรคการเมืองใหม่

สรุปได้ว่า ทีมงาน คสช.ไม่รับมุก ยังไม่ยอม “ปลดล็อก” นักการเมืองง่ายๆ

และนั่นก็หมายถึงการผลักให้ไหลรวมโดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า นักการเมืองทุกป้อมค่ายไม่ว่าจะเป็นค่ายประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยต้องแตะมือ ร่วมกันเดินหมากกดดันรัฐบาลทหาร

แนวโน้มตามรูปการณ์ “เงื่อนไขไหลรวม” กับจังหวะการขยับของนักการเมืองอาชีพขอคืนพื้นที่ การเคลื่อนไหวของนักศึกษาคนรุ่นใหม่ที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่มาถึงจุดการเลิกจ้างงาน ปัญหาเดือดร้อนปากท้องยกระดับจากชาวบ้านรากหญ้ามาถึงคนชั้นกลางสร้างความยากลำบากให้กับรัฐบาลทหาร

ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากวัน “รัฐประหารเงียบ” วันที่ 22 พฤษภาคม 2557

จากเริ่มต้นประชาชนส่วนใหญ่เต็มใจมอบฉันทามติให้กองทัพเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อย กู้สถานการณ์ “ไทยฆ่าไทย” ไม่ให้ประเทศตกอยู่ภาวะรัฐล้มเหลว

แต่ผ่านไป 2 ปี เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้าน ไม่ใช่เฉพาะแต่ ขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น แม้แต่แนวร่วมขั้วเดียวกันที่ถือหางสนับสนุนกันมาก็เริ่มมีปัญหา

ต่อต้านพฤติกรรมการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของฝ่ายคุมเกมอำนาจ

ตามหัวเชื้อสะสมจากปมร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นรายการทุจริตโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ การซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่ฉาวกว่าทุกยุคทุกสมัย

มาถึงปมทุจริตการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ที่โดนแฉประจานไปทั่วโลก ศาลอังกฤษตัดสินสั่นสะเทือนมาถึงเมืองไทย เรื่องเน่าๆปิดไว้ไม่มิด

ไม่นับรวมถึงกระแสเคลือบแคลง โครงการก่อสร้างรถไฟ ความเร็วสูงที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมายังหาจุดจบไม่ได้ โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน การจัดซื้อรถถังของกองทัพ

สังคมปักใจไปแล้วว่า ต้องมีคนรับค่าต๋ง

หรือกรณีร้อนๆ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ่อถอนฟ้องคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ในปี พ.ศ.2553 ล้วนแต่กระตุกเครื่องหมายคำถามไปถึง 3 พี่น้อง

พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

เรื่องของเรื่อง มันก็ย้อนไปถึงสิ่งที่ก่นด่านักการเมือง กาหัวว่านักเลือกตั้งเป็นพวกเลว ชั่วร้าย เป็นเงื่อนไขให้อ้างในการยึดอำนาจรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไล่ไปพักอยู่ข้างสนาม

มาถึงวันนี้ประเมินจากกระแสสังคม อารมณ์ของผู้คนที่มองสถานการณ์ภายใต้อำนาจพิเศษ

มันก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างกันแต่อย่างใด

ในเมื่อระยะเวลาผ่านการพิสูจน์พฤติกรรมการใช้อำนาจ พิเศษเพื่อประโยชน์ของใคร

ที่แน่ๆโดยวิถีตามครรลองประชาธิปไตย ถ้าฝ่ายบริหารพลาด กระแสสังคมไม่ไว้วางใจ ต้องปรับ ครม.หรือไม่ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน

แต่โดยวิถีของอำนาจพิเศษ ภายใต้ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ปราศจากอำนาจถ่วงดุล

ก็ต้องลุ้นขีดความอดทนของประชาชนจะสิ้นสุดเมื่อไหร่.

“ทีมการเมือง”

 

Leave a comment